25 ก.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ครั้งที่ 11/2557 โดยมี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.เป็นประธานดำเนินการในการประชุม โดยเป็นการพิจารณาและอภิปรายร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งทางคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่มี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.ในฐานะประธาน กมธ.ดังกล่าว ได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว
โดย นายธานี อ่อนละเอียด สนช.ได้อธิบายและชี้แจงถึงกรณีที่ขอสงวนคำแปรญัตติในหมวด 10 ของร่างข้อบังคับการประชุม สนช.คือการถอดถอนและการให้บุคคลพ้นจากตำแหน่ง โดยระบุว่า ตนได้เคยท้วงติงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการตราข้อบังคับต่างๆ ในการถอดถอน เพราะถ้าประธาน สนช.มีการลงนามเพื่อบังคับใช้เป็นข้อบังคับในการประชุม สนช.นั้น หมายความว่า จะมีผลทันทีตามข้อ 149 ของร่างบังคับ ซึ่งจะบังคับให้ประธาน สนช.จะต้องนัดประชุม สนช.เพื่อจะบรรจุเรื่องการถอดถอนเป็นระเบียบวาระการประชุมภายใน 30 วัน โดยไม่มีโอกาสให้ประธาน สนช.จะใช้ดุลพินิจในการพิจารณา และจะมีระยะเวลาบังคับในกระบวนการนี้ทันทีถ้ามีการลงนามประกาศใช้
ซึ่งขณะนี้มีเรื่องค้างพิจารณาในการถอดถอนที่ค้างมาจากวุฒิสภาชุดที่แล้ว จำนวน 3 เรื่องที่ ป.ป.ช.ชี้มูลมาแล้ว แต่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ได้มีประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 และมี สนช.บางส่วนได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า ไม่จำเป็นให้ทาง ป.ป.ช.ทบทวนมติ ทาง สนช.สามารถดำเนินการถอดถอนได้ทันที โดยตนขอเสนอว่า ในเมื่อรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 ไม่ได้มีผลบังคับใช้แล้ว สมควรจะให้มีการทบทวนมติของ ป.ป.ช.หรือไม่ เพราะหากไม่มีการบรรจุเรื่องการถอดถอน ก็จะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าหากมีการบรรจุเป็นระเบียบวาระการประชุม ก็จะโดนข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถือเป็นกับดักทางกฎหมายอันหนึ่ง ดังนั้น ทางออกเรื่องนี้จึงควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจที่มาจาก สนช.19 คน ประกอบด้วย ตัวแทนคณะกรรมาธิการสามัญ 16 คณะๆ ละ 1 คน และตัวแทนวิป สนช.3 คน มาทำหน้าที่กลั่นกรอง พิจารณาเรื่องถอดถอนที่ส่งมาแต่ละเรื่อง อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่สนช.จะถอดถอนได้หรือไม่ แล้วส่งเรื่องให้ประธาน สนช.นำเข้าสู่ที่ประชุม สนช.พิจารณาอีกครั้ง เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันประธาน และรองประธาน สนช.
ขณะที่ นายตวง อันทะไชย กรรมาธิการยกร่างข้อบังคับการประชุม ชี้แจงว่า ไม่สามารถตัดหมวดการถอดถอนได้ และ สนช.มีอำนาจยกร่างข้อบังคับการประชุม สนช.เรื่องการถอดถอนได้ ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ที่ให้ สนช.ทำหน้าที่แทน ส.ส.และ ส.ว.และยังคงอำนาจตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระบุให้ ส.ว.มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ 17 ตำแหน่ง อีกทั้งการจะตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง อาจสร้างความเป็นไม่มาตรฐานได้ เพราะการพิจารณาแต่ละกรณีมีความแตกต่างกันตามดุลพินิจของกรรมการกลั่นกรอง จึงสงควรคงไว้ตามเดิม เนื่องจากการถอดถอนบุคคลในแต่ละตำแหน่งมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญรองรับไว้อยู่แล้ว อีกทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะต้องมีเครื่องมือไว้เพื่อดำเนินการถอดถอนบุคคล ขณะที่อำนาจของสภานิติบัญญัติจะดำเนินการถอดถอนได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากนั้นที่ประชุมลงมติให้ความเห็นชอบหมวด 10 เรื่องการถอดถอนตามที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอมาด้วยคะแนน 128 ต่อ 9
ต่อมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้พิจารณาข้องบังคับการประชุมจนเสร็จสิ้นในวาระที่ 2 ทั้ง 221 ข้อ แล้วดำเนินการต่อในวาระที่ 3 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างข้อบังคับการประชุมด้วยคะแนนเสียงที่ 148 ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 ไม่ละคะแนน 1 ดังนั้น ที่ประชุม สนช.มีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้ข้อบังคับการประชุม สนช.2557 โดยจะมีผลในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ย.) เป็นต้นไป ซึ่ง สนช.เลิกประชุมในเวลา 16.00 น.โดยใช้เวลาพิจารณาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี