กนย.อุ้มสวนยางเท่าชาวนา
จ่ายไร่ละพัน
ทุ่มอีก2หมื่นล.ซื้อเข้าสต๊อก
อุ๋ยฟุ้งราคาตลาดโลกจ่อขยับ
หลายพื้นที่เริ่มอ่วม‘ภัยแล้ง’
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) โดยก่อนการหารือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า มีข่าวดีรายงานต่อที่ประชุม เนื่องจากรายงานสถิติของสต๊อกยางโลกและของไทยมีปริมาณยางลดลง
หลังปีที่แล้วปริมาณยางโลกอยู่ที่ 2.9 ล้านตัน ขณะที่ปีนี้ปริมาณอยู่ที่ 2.3 ล้าน- 2.5 ล้านตัน เช่นเดียวกับ ปริมาณยางของประเทศไทยปีที่แล้วอยู่ที่ 5.3 แสนตันจนถึงเดือนกันยายน ปริมาณลดลงเหลือเพียง 4 .4 แสนตัน ทำให้เชื่อได้ว่าราคายางของประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากขณะนี้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFED มีปริมาณความต้องการยางสูงขึ้น
หลังการหารือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรแถลงว่า ที่ประชุม กนย.สรุปมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นรัฐบาลจะซื้อยางจากชาวสวนยางโดยตรง โดยใช้งบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งมีกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเข้าสต๊อกของรัฐและอาศัยจังหวะที่ราคายางโลกสูงขึ้น ทยอยส่งขายออกตามออเดอร์ที่มีการสั่งซื้อ ซึ่งขณะนี้มีคำสั่งซื้อมาแล้วต่อเนื่องทุกเดือน ควบคู่กับการให้องค์การสวนยาง (อสย.) เป็นผู้ซื้อยางจากตลาดและสหกรณ์ยาง เพื่อมาขายให้รัฐเข้าสต๊อกเช่นกัน
ขณะเดียวกันได้ประสานกระทรวงพาณิชย์ หลังกำหนดมาตรการระยะยาว โดยเบื้องต้นได้รับความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ 6 แห่งที่ตอบรับคือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกร ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารธนชาติ เพื่อปล่อยสินเชื่อรวมวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อน้ำยางจากชาวสวน มาทำธุรกิจน้ำยางข้น
รองนายกฯกล่าวด้วยว่า รัฐบาลช่วยเหลือชาวสวนยางรายย่อย ที่มีพื้นที่ทำสวนยาง ไม่เกิน15ไร่ โดยจ่ายเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งจะเริ่มจ่ายได้ต้นเดือนพฤศจิกายน ขณะนี้ได้มีการขึ้นทะเบียนไว้แล้ว แต่ต้องสำรวจตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง แต่จากการสำรวจเบื้องต้น มีชาวสวนยางที่ต้องช่วยเหลือจำนวน 8.5 แสนราย วงเงิน 8.5 พันล้านบาท รัฐบาลจะพยายามดึงราคายางให้อยู่ที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมขณะนี้ราคาอยู่ที่ 45-47 บาทต่อกิโลกรัม โดยมาตราการทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่ระบุไว้ รวมทั้งการปล่อยสินเชื่อจาก ธกส.และธาคารพาณิชย์ รัฐจะช่วยผ่อนปรนดอกเบี้ยร้อยละ 3
นอกจากนี้ ที่ประชุม กนย. ยังเสนอทางเลือกให้ชาวสวนยางที่มีพื้นที่ไม่เกิน 25 ไร่ และชาวสวนยางที่ถึงเวลาต้องโค่นต้นยาง สามารถกู้เงินจาก ธกส.ได้ ในโครงการสินเชื่อปรับปรุงสวนยาง เพื่อนำไปทำอาชีพเสริมควบคู่กับการปลูกยาง หรือรอเวลากรีดยางด้วย ซึ่งรัฐก็จะช่วยจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 3 เช่นกัน โดยไม่เกินวงเงิน 1 แสนบาทต่อครัวเรือน ในกรอบเวลากู้ 5 ปี รวมวงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท และจากการสำรวจจะสามารถช่วยได้ 1.5 แสนราย อย่างไรก็ตามมาตราการทั้งระยะสั้นและระยะยาวจะเริ่มดำเนินการได้หลังผ่านมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พร้อมยืนยันว่า มาตราดังกล่าวไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เพื่อให้ชาวสวนยางสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ภัยแล้งวันเดียวกันว่า สำนักงานโครงการชลประทาน จ.บุรีรัมย์งดปล่อยน้ำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและนาปรังกว่า 266,000 ไร่ ทั้งในเขตและนอกเขตพื้นที่บริการของอ่างเก็บน้ำทั้ง 22 แห่งโดยเฉพาะนาปรัง หลังพบว่าปีนี้อ่างเก็บน้ำหลายแห่งยังมีปริมาณกักเก็บต่ำ เสี่ยงเกิดวิกฤติภัยแล้งขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เนื่องจากปีนี้มีฝนตกน้อยและไม่ตกในพื้นที่รับน้ำของอ่าง
เรียกถกกก.ผู้ใช้น้ำเตือนแล้งนาน
พร้อมกันนี้ สำนักงานโครงการชลประทานจังหวัดเตรียมเรียกคณะกรรมการผู้ใช้น้ำตามหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆ ในเขตพื้นที่บริการมาหารือแผนบริหารจัดการน้ำ พร้อมช่วยประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้ทำนาปรัง รวมถึงเกษตรกรที่ปลูกพืชฤดูแล้งหรือพืชที่ใช้น้ำน้อยลดพื้นที่ปลูก ทั้งนี้ คาดว่าฤดูแล้งปีนี้จะยาวนานกว่าทุกปีที่ผ่านมา และขณะนี้ปริมาณน้ำกักเก็บในอ่างเก็บทั้ง 22 แห่ง เฉลี่ย 62% ของความจุอ่างทั้งหมด ซึ่งเป็นปริมาณที่เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติภัยแล้ง ถ้าไม่เร่งบริหารจัดการน้ำไว้ล่วงหน้า
ผันน้ำสำรองผลิตประปา2อำเภอ
นายกิติกุล เสภาศีราภรณ์ ผู้อำนวยการชลประทานบุรีรัมย์เปิดเผยด้วยว่า อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำดิบที่นำไปผลิตประปาบริการประชาชนใน 2 อำเภอคือ อ.เมือง และอ.ห้วยราชมีสถานการณ์น้ำน่าเป็นห่วง เพราะปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บเพียง 42.66%ของความจุอ่าง 26 ล้านลูกบาศก์เมตร มีประชาชนผู้ใช้น้ำมากกว่า 20,000 ครัวเรือน ทางชลประทานจังหวัดจึงร่วมกับสำนักงานประปาส่วนภูมิภาคผันน้ำมาจากลำน้ำมาศ มากักเก็บสำรองไว้ในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก ไว้ผลิตประปาป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำ
ขณะที่ชาวนาหลายจังหวัดเริ่มประสบภัยแล้ง ซึ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นแล้ว โดยที่จ.เลย ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ปริมาณน้ำฝนตกในพื้นที่มีเพียงเล็กน้อย ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆไม่พอใช้ ขณะที่นาข้าวเริ่มยืนต้นตาย เพราะขาดน้ำ โดยนายสฤษดิ์ พลศักดิ์ อายุ 52 ปี ชาวนาต.นาดินดำเปิดเผยว่า ฤดูฝนที่ผ่านมาฝนตกน้อยมาก ตกหนักเพียงเดือนเดียว จากนั้นก็ไม่ตกอีกเลย นาแทบจะไม่มีน้ำ ตอนนี้คงหาทางออกโดยหาเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำจากบึงที่อยู่ห่างไปกว่า 500 เมตรเข้ามา แต่น้ำก็มีน้อย คงต้องปล่อยให้เป็นนาร้าง ซึ่งขณะนี้ปล่อยทิ้งนาไปแล้วกว่า 2 ไร่กว่า 3 แปลง มีหญ้าปกคลุมเต็มไปหมด
เช่นเดียวกับที่ จ.นครพนม น้ำในแปลงนาแห้งไม่พอหล่อเลี้ยงต้นข้าว ซึ่งตั้งท้องออกรวง โดยนายพวน ขลุ่ยฟอง ชาวนาบ้านทุ่งโพธิ์ อ.โพนสวรรค์กล่าวว่า ช่วงนี้สำคัญมาก เพราะต้นข้าวกำลังตั้งท้องออกรวงถ้าไม่มีน้ำเลี้ยงจะทำให้ต้นข้าวแห้งตายหรือออกรวงไม่สมบูรณ์ ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการตั้งเครื่องสูบน้ำจากบ่อหรือลำห้วยลงแปลงนาให้มีน้ำตลอด เพื่อหล่อเลี้ยงต้นข้าวไม่ให้แห้งตาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี