สนช.เลื่อนสอย2ขี้ข้าแม้ว
ส่อมวยล้ม!
ยอมฉีกกฎเปิดช่องดองยาว
อ้างเอกสารเยอะ4พันหน้า
ปิดห้องถก‘ลับ’กว่า3ชม.
ทหารแก่โอดไม่รู้กฎหมาย
โยน‘พรเพชร’ชงเชือดใหม่
ปชป.จวกปอดแหกเตะถ่วง
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 17 ตุลาคม ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีการพิจารณารายงานและสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กรณีกล่าวหานายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิชอดีตประธานวุฒิสภา ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาสมาชิกวุฒิสภา(สว.) เป็นการกระทำที่ส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นความผิดอยู่ในอำนาจของ สนช.ที่จะพิจารณาถอดถอนตามข้อบังคับการประชุม สนช.หรือไม่ โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธาน ซึ่งได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า นายอำนาย คลังผา อดีต สส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย(พท.) พร้อมอดีต สส.พรรคเพื่อไทย กว่า 100คน ได้ยื่นหนังสือขอให้ยุติพิจารณาการถอดถอน
สนช.ถกลับถอด’นิคม-ขุนค้อน’
ต่อมา นายสมชาย แสวงการ สนช.และเลขานุการวิป สนช.ได้เสนอให้ประชุมลับตามข้อบังคับการประชุมข้อ13 โดยอ้างว่าอาจมีการอภิปรายพาดพิงบุคคลที่3 ซึ่ง นายพรเพชร ได้ถามความเห็นต่อที่ประชุมโดยมีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 183คน ปรากฏว่าสมาชิก 175เสียง เห็นควรให้มีการประชุมลับ ไม่เห็นด้วย 1เสียง งดออกเสียง 1เสียงและไม่ลงคะแนน 6เสียง จากนั้น นายพรเพชร สั่งผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม โดยเริ่มประชุมลับเวลา 12.25น.
ถก3ชม.ไร้ข้อสรุปสั่งปิดประชุม
กระทั่ง เวลา16.00น.หลังการประชุมลับนานกว่า 3ชั่วโมงครึ่ง มีรายงานว่า ที่ประชุมได้กดสัญญาณเรียกสมาชิกฯ เข้าห้องประชุมถึง 3ครั้ง เมื่อเปิดการถ่ายทอดสดการประชุมอีกครั้งปรากฏว่า เป็นภาพการสั่งปิดประชุม สนช.ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความงุนงงให้สื่อมวลชน โดยไม่มีการแจ้งผลการประชุมแต่อย่างใด ทั้งนี้ ที่ประชุมมีความเห็นแบ่งเป็น 2ฝ่าย จนสมาชิกคนหนึ่งเสนอต่อประธานที่ประชุมให้เลื่อนการหารือออกไป โดยยกเว้นข้อบังคับการประชุมที่ต้องพิจารณาภายใน 30วัน โดยมีมติเห็นชอบ 165เสียง จากนั้นประธานฯจึงสั่งปิดการประชุมทันที
กังวลข้อกฎหมาย-เงื่อนเวลา30วัน
แหล่งข่าวจากที่ประชุม สนช.แจ้งว่า บรรยากาศภายในห้องประชุมลับมีการอภิปรายเรื่องของกฎหมายโดยให้ สนช.ทีมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายอภิปรายให้สมาชิกในที่ประชุมฟัง โดยไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากมีสมาชิกหลายคนกังวลเรื่องข้อกฎหมายและเรื่องเงื่อนเวลาที่ต้องพิจารณาภายใน 30วัน ทำให้ที่ประชุมต้องใช้การลงมติเพื่องดให้ยกเว้นข้อบังคับการประชุม โดยเสียงข้างมาก165 เสียงเห็นว่าให้งดใช้ข้อบังคับการประชุมว่าด้วยกรอบ 30วัน
‘พีระศักดิ์’อ้างยังอ่านเอกสารไม่ครบ
หลังการประชุม นายพีระศักดิ์ พอจิตร รองประธาน สนช.ระบุว่า สาเหตุที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะเอกสารที่สมาชิกได้รับจาก ปปช.ไม่ครบ สมาชิกจึงเสนอให้เลื่อนพิจารณาออกไป เพราะไม่สามารถใช้ดุลยพินิจได้ ที่ประชุมจึงเห็นตรงกันให้เลื่อนการประชุมออกไป จนกว่าจะได้รับเอกสารประกอบการพิจารณาครบถ้วน ส่วนจะบรรจุวาระนี้อีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจประธาน สนช.
‘สุรชัย’คาดเลื่อนออกไป2สัปดาห์
ด้าน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่1 ให้สัมภาษณ์ว่า การหารือเรื่องดังกล่าวขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีประเด็นความเห็นที่หลากหลายและมีผู้ที่เสนอให้เลื่อนวาระพิจารณาออกไป เบื้องต้นคาดว่าจะเลื่อนการพิจารณาออกไปประมาณ 2สัปดาห์
“สมชาย”อ้างเอกสารเยอะเลื่อนไปก่อน
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ วิป สนช.เปิดเผยถึงเหตุผลที่การประชุมยังไม่ได้ข้อยุติว่า เป็นเพียงการหารือของสมาชิกฯตามการสั่งการของ นายพรเพชรเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องหาข้อยุติใดๆ โดยการอภิปรายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการเสนอแง่มุมทางกฎหมายของสมาชิกฯที่มีความเชี่ยวชาญ โดยไม่ได้ชี้ทิศทางว่า จะต้องรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่
นอกจากนั้นที่ประชุมเห็นว่า ในแง่มุมของการตัดสินมีประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา จึงต้องการอ่านรายละเอียดของรายงานและสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ ปปช.ส่งมาให้สนช.จำนวน 9แฟ้ม ความหนาประมาณ 5พันหน้า ให้เข้าใจในแง่มุมรายละเอียดของความผิดตามกฎหมายที่ปปช.ระบุไว้ในสำนวนก่อน ท้ายสุดจึงลงมติเห็นร่วมกันให้เลื่อนพิจารณาออกไปเพื่อให้สมาชิกฯได้อ่านรายละเอียดก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ยังลงมติให้งดเว้นใช้ข้อบังคับการประชุมข้อที่149 ว่าด้วยการบรรจุวาระถอดถอนภายใน 30วัน
ยืนยันสนช.มีอำนาจถอดถอน
‘ยืนยันว่า สนช.มีอำนาจที่จะถอดถอนตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา6 แต่ประเด็นที่ถกเถียงกันวันนี้คือ ความผิดที่ ปปช.พูดถึง ที่ผ่านมา สนช.ได้ติดตามจากข่าวว่า นายสมศักดิ์และนายนิคม มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ2550 แต่ปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว นอกจากนั้น ปปช.เองได้ระบุว่า ฐานความผิดยังมีอยู่ตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ปปช. ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกฯจะต้องพิจารณาจากสำนวนการไต่สวนของ ปปช.อย่างรอบคอบว่าเป็นฐานความผิดตามกฎหมายฉบับใด’นายสมชาย กล่าว
อ้างต้องอ่านเอกสารกว่า4พันหน้า
ด้านนายวิทวัส บุญสถิตย์ สนช. กล่าวถึงผลการประชุมลับว่า ที่ประชุม สนช.ยังไม่มีการลงมติว่าจะรับทั้ง 2 รับสำนวนดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากสมาชิกเห็นว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือ ยังไม่ได้เริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการถอดถอน อีกทั้งข้อมูลที่สนช.ได้รับทราบเรื่องการถอดถอนยังมีไม่เพียงพอ เป็นแค่ใบปะหน้า 3-4 แผ่นเท่านั้น ทั้งที่สำนวนที่ป.ป.ช.ส่งมาให้สนช.มีถึง 4,000 หน้า ดังนั้นต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูล
เปิดทางลื่อนถอดถอนไม่มีกำหนด
“ดังนั้นที่ประชุมจึงขอยกเว้นข้อบังคับการประชุมที่ระบุว่า ประธานสนช.ต้องบรรจุวาระเพื่อพิจารณาถอดถอนภายใน 30 วัน นับจากวันที่ป.ป.ช.ส่งสำนวนถอดถอนมาให้ โดยที่ประชุมมีมติ 165 เสียงให้ยกเว้นข้อบังคับการประชุมดังกล่าว และหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. จะบรรจุวาระเรื่องนี้กลับเข้าสู่ที่ประชุมสนช.เมื่อใด ไม่จำเป็นต้องเป็นภายใน 30 วัน เพราะมีการยกเว้นข้อบังคับการประชุมแล้ว”นายวิทวัสกล่าว
ไม่ได้ปอดแหกแต่ต้องรอบคอบ
ขณะที่ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ สมาชิกสนช. กล่าวว่า การมีมติเลื่อนพิจารณาประเด็นถอดถอนนักการเมืองออกไปไม่ใช่เป็นเพราะไม่กล้า แต่เนื่องจากสมาชิก 200 กว่าคน อภิปรายกันกว้างขวางจนจับอะไรไม่ได้ เรามีหน้าที่อยู่แล้ว แต่การทำอะไรอย่าผลีผลาม ทุกคนมองว่านิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ต้องแน่น ต้องมองแบบองค์รวมเพื่อการปฏิรูปข้างหน้า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เห็นว่าวันนี้มันเย็นแล้วและเป็นวันศุกร์ควรหยุดการประชุมไปก่อนแล้วค่อยมาพิจารณากันใหม่ในวันข้างหน้า
แค่ทหารแก่ๆไม่รู้ข้อกฏหมาย
“ส่วนสังคมอาจกังขาว่า สนช.ยื้อเวลาออกไปหรือไม่นั้น คงไม่ใช่ เพียงแต่หลายคนเห็นว่าควรพิจารณาเพิ่มเติม พวกตนเป็นทหารแก่ๆ ไม่รู้ข้อกฎหมาย ต้องขอเวลาศึกษาก่อน เอกสารตั้งสี่พันกว่าหน้า แต่ละคนดูกันตาแฉะจะให้ดูในเวลาสั้นๆ คงเป็นไปไม่ได้”พล.อ.สกนธ์ ระบุ
ส่วนนายกิตติศักดิ์ รัตวราหะ สมาชิก สนช.กล่าวว่า บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี เป็นการหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติ แต่สมาชิกบางกลุ่มยังเห็นขัดแย้งในข้อกฎหมายตามอำนาจที่อ้างถึงรัฐธรรมนูญ2550 จึงถกเถียงกันจนยังไม่ได้ข้อสรุป ประกอบกับยังไม่ได้รับรายละเอียดสำนวนของ ปปช.จึงต้องรอข้อมูลเพื่อศึกษาอีกครั้ง
แนะตั้งอนุกก.พิจารณาอีก1คณะ
ด้านนายสุรัศม์พรรณ ดุลยจินดา ประธานชมรมนักวิชาการช่วยชาติ แสดงความเห็นประเด็นที่สนช.จะถอดถอนอดีตประธานรัฐสภาและอดีตประธานวุฒิสภา ว่า เรื่องนี้ตนมีความเห็นว่า สนช.ควรตั้งอนุกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อพิเคราะห์ปัญหาอย่างกว้างขวาง ละเอียดทุกแง่ทุกมุมทั้งแง่รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ พร้อมรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนทุกด้าน เมื่อได้ข้อวิเคราะห์แล้วก็นำความเห็นเสนอต่อ สนช.ต่อไป
“นิพิฎฐ์’จวกยับสนช.เตะถ่วง
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหลัง สนช.มีมติเลื่อนการพิจารณารับเรื่องถอดถอน นายสมศักดิ์และนายนิคม ว่า ตนไม่แปลกใจที่ผลประชุมออกมาเช่นนี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่กล้าตัดสินใจ ข้ออ้างว่าต้องศึกษาเอกสาร 4พันกว่าหน้าไม่ใช่ประเด็น เพราะการหารือครั้งนี้ไม่ใช่พิจารณาว่า จะถอดถอนหรือไม่ เพียงให้ลงมติว่า จะรับเรื่องไว้หรือไม่ หากรับไว้พิจารณาสมาชิกยังมีเวลาศึกษาเอกสารได้ ถือเป็นการแตะถ่วงทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญและเป็นหัวใจของการปฏิรูป
ฟันคดีถอดถอนเป็น”มวยล้ม”
“เมื่อ สนช.ทำเช่นนี้ทำให้ความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อการปฏิรูปลดลงอย่างมาก ที่น่าสังเกตคือสมาชิกที่อ้างว่าไม่แน่ใจว่ามีอำนาจถอดถอนหรือไม่ หรือคนที่เสนอให้เลื่อนออกไป ส่วนใหญ่มาจากสมาชิกสายทหาร ซึ่งเป็นกำลังหลัก หากข้อเสนอมาจากกลุ่มอื่นยังพอที่จะรับฟังได้ แต่เมื่อสายทหารลังเลว่า จะรับหรือไม่รับทำให้กลุ่มอื่นเกิดความไม่แน่ใจตามมา ถ้าเป็นรูปแบบนี้ผมว่า น่าจะไม่มีการถอดถอนเกิดขึ้น เพราะสนช.กลัวคำขู่กลุ่มการเมืองบางกลุ่มว่าจะฟ้องศาล”นาย
สปช.ถกนอกรอบเตรียมตั้งปธ.
วันเดียวกันนายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิก สปช.กล่าวหลังประชุมนอกรอบของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ว่า เป็นการหารือนอกรอบและชี้แจงเรื่องการประชุมวันที่ 21ตุลาคม จะเปิดประชุมเพื่อเลือกประธานและรองประธานทั้ง 2คน หลังจากนั้นจะมีการแบ่งกลุ่มด้านต่างๆ ทั้ง 11ด้าน เพื่อที่จะเลือกคนที่เข้ามาทำหน้าที่วิปชั่วคราว คือ มีสมาชิก สปช.ทั้ง 11ด้าน ด้านละ 1 คนมาทำหน้าที่วิปชั่วคราว ส่วนต่างจังหวัดก็แบ่งเป็น 4ภาค ก็จะมีตัวแทนภาคละ 2 คน เข้ามาทำหน้าที่
“จะมี 2คณะกรรมาธิการ คือ คณะกรรมาธิการประสานงาน สปช.ชั่วคราวและ กรรมาธิการร่างข้อบังคับ ซึ่งจะมาจาก สปช.11ด้านๆละ 1คนและสปช.รายจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด ทั้ง 4 ภาค ๆ ละ 2คน ซึ่งจะได้ คณะกรรมาธิการขึ้นมา 2ชุด มาทำหน้าที่ประสานงาน สปช.ส่วนกรรมาธิการร่างข้อบังคับการประชุม สปช.และมีกรอบว่าจะต้องมีกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจาก สปช. มี 20 คน ภายในวันที่4พฤศจิการยน จะตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีตัวแทนของ สปช. นอกจากนั้นก็จะเป็นตัวแทนของ คสช.สนช.และรัฐบาล อีกฟากละ 5คน รวมกันเป็น 35 คน ถ้ารวมประธานที่แต่งตั้งโดย คสช.ก็จะมี 36คน”นายประสาร กล่าว
กกต.จัดประชุมประจำปีครั้งแรก
วันเดียวกัน ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดโครงการสัมนา กกต.ประจำจังหวัด ประจำปี2557 ซึ่งมี นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติและนายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้มอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติงานในสถานการณ์ปัจจุบันแก่กกต.ประจำจังหวัดทั้ง 77จังหวัด
ไม่ยุบกกต.-นายกฯชมทำงานดี
นายศุภชัย กล่าวว่า การจัดสัมมนาพบ กกต.ประจำจังหวัดครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ กกต.ชุดนี้เข้ามารับตำแหน่ง เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อจำกัดสถานการณ์ทางการเมือง แต่ขณะนี้ประเด็นที่มาคู่กับการปฏิรูปประเทศคือ มีการพูดถึงสถานะความมั่นคงขององค์กร กกต.ทั้งประจำจังหวัดและส่วนกลาง ด้วยเหตุผลคือการทำหน้าที่ที่ผ่านมาหลายฝ่ายเห็นว่า กกต.ยังไม่สามารถจัดการการทุจริตเลือกตั้งให้หมดสิ้น ทำให้มีการเสนอความเห็นให้ลดอำนาจ หรือยุบ กกต.อย่างไรก็ตามตนมีโอกาสคุยกับนายกฯและรองนายกฯ ซึ่งนายกฯยืนยันว่า ไม่ต้องหวั่นไหว ที่ผ่านมากกต.ทำงานได้ดีเยี่ยม
‘สมชัย’คาดเลือกตั้งต้นปี2559
จากนั้น นายสมชัย กล่าวว่า เรายังไม่รู้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จากไทม์ไลน์เดิมตนเคยคิดว่าจะเลือกตั้งเดือนตุลาคม2558 แต่จะเลือกตั้งเดือนตุลาคมได้ การยกร่าง พรบ.เกี่ยวกับการเลือกตั้งต้องทำควบคู่ไประหว่างยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ารอทำหลังจากยกร่างรัฐธรรมนูญแล้ว การเลือกตั้งก็จะเลื่อนไปอีก 2-3เดือน อาจเป็นเดือนมกราคา2559 อีกทั้งหากทำประชามติระยะเวลาก็จะขยายออกไปอีกอย่างน้อย 2เดือน
‘บิ๊กตู่’ชื่นมื่นไปเยือนเมียนมาร์
เวลา 18.00น.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในรายการ’คืนความสุขให้คนในชาติ’โดยสรุปว่า ผลการเดินทางเยือนสหภาพเมียนมาร์เพื่อนบ้านของเรา ตนได้เข้าเยี่ยมคารวะท่านประธานาธิบดี เต็ง เส่ง มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันในหลายมิติ ทั้งนี้ท่านประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีฉันท์พี่น้องระหว่างไทย-เมียนมาร์ ที่มีมาโดยตลอด ประเทศไทยนับเป็นประเทศคู่ค้าของเมียนมาร์ที่สำคัญมีมูลค่าค้าขายสูงสุดและมีการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน
ย้ำโอกาสสุดท้ายปฎิรูปประเทศ
เรื่องขอความร่วมมือก็อยากให้ประชาชนทุกคนรับทราบว่า ปัญหาของประเทศมีมากมาย เป็นปัญหาสะสมทั้งสิ้น เราเข้ามาบริหารประเทศก็มุ่งหวังให้ประเทศมีความเจริญมั่นคงอย่างยั่งยืน หากพวกเราทุกคนไม่ทำ ไม่ร่วมมือกัน ไม่เริ่มทำตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ใครมาทำอีก วันเวลาอาจไม่มีอีกแล้วในการแก้ปัญหา ถ้าจะประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ มาแก้ตอนนี้คงไม่ทัน ต้องแก้ด้วยวิธีการนี้ไปก่อน เมื่อมีวิธีการปกติ ได้ ครม.และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ค่อยมาว่ากันอีกที
หวังนักการเมืองที่ดีพัฒนาชาติ
วันนี้เราต้องใช้อำนาจที่มีอยู่แก้ปัญหาในอดีต พร้อมกับเดินหน้าประเทศไปด้วย ไม่งั้นติดขัดข้อกฎหมาย ติดขัดรัฐธรรมนูญมากมาย ที่ผ่านมาตนไม่ไปดิสเครดิตนักการเมือง ธรรมดาทุกที่ก็มีทั้งคนดีและไม่ดี นักการเมืองดีๆก็เยอะ วันนี้ต้องเอาคนดีให้มากขึ้น แล้วก็สู้กับคนไม่ดีให้ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ฝากประเทศชาติไว้กับนักการเมืองในอนาคตไว้ด้วยนะครับ วันหน้าก็มาร่วมพัฒนาประเทศ
บินถก’อาเซม’ใครต่อต้านไม่สน
ขณะนี้ตนไม่ได้อยู่เมืองไทย มีภารกิจในการประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือASEMครั้งที่10 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มีความสำคัญในเรื่องของการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้นำเอเชียและยุโรปทั้ง 50ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศสหภาพยุโรป หรือEU กับสำนักเลขาธิการอาเซียน อีกด้วย ตนกลับมาจะชี้แจงเพิ่มเติม ก็เป็นกำลังใจให้หน่อย ตนจะไปเผชิญกับใคร ใครต่อต้านตนจะอดทนให้มากที่สุด อดทนเพื่อประเทศไทย เพื่อคนไทย ขอให้มีความสุข อีก 2-3วัน เจอกันครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี