สนช.รับหลักการพรบ.สัตว์ป่า 'ดาว์พงษ์'ชี้ต้องแก้ให้รอบครอบ
วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557, 18.30 น.
Tag :
22 ต.ค. 57 เมื่อเวลา 16.10 น. ที่อาคารรัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานดำเนินการในการประชุม ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สวนป่า (ฉบับที่...)
โดยร่าง พ.ร.บ.สวนป่า (ฉบับที่...) พ.ศ. มี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ชี้แจงหลักการของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุว่า โดยที่ พ.ร.บ.สวนป่า พ.ศ. 2535 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมและเป็นอุปสรรคต่อการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการปลูกสร้างสวนป่า ประกอบกับปัญหาอุปสรรคในการแปรรูปไม้และการออกใบรับรองไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่า และความไม่ชัดเจนของสถานะของสัตว์ป่าหรือของป่าในสวนป่า ดังนั้น จึงต้องสมควรแก้ไขหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนสวนป่า และปรับปรุงมาตรการในการกำกับดูแลและแก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อเป็นมาตรการในการส่งเสริมและจูงใจให้มีการปลูกสร้างสวนป่า ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และกำหนดบทนิยามของป่า จากเดิมที่สวนป่ามีแค่ 2 ชนิด แต่ ของใหม่ได้เพิ่มขึ้นมาอีก 62 ชนิด เป็น 64 ทั้งนี้ ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เพราะที่ผ่านมาความต้องการไม้เพิ่มมากขึ้นหลังจาก 25 ปีที่ปิดป่า และ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มพื้นป่าเป็น 40 %ในปี 2567 จากเดิมที่มี 32 % นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับการส่งเสริมการค้าไม้ต่างประเทศให้นำไม้ซึ่งมีที่มาที่ไปแปรรูปขายไปยังต่างประเทศ และสอดรับกับการจัดสรรที่ดินให้เอกชนซึ่งบางพื้นที่ซึ่งไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ก็ให้ทำเป็นรูปแบบสหกรณ์เพราะบางแปลงเหมาะกับการทำสวนป่าอย่างไรก็ตาม ยังมีข้อทีน่าเป็นห่วงและได้พยายามแก้ไขทั้งเรื่อง การจัดสรรที่ดิน การเปิดให้สามารถเคลื่อนย้ายไม้ได้ง่ายขึ้น หรือการอนุญาตให้ตั้งโรงเลื่อยไม้ในพื้นที่รายแปลงตามที่กำหนดเพื่ออำนวยความสะดวก
ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.นี้ มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง เช่น นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช. ได้อภิปรายว่า ตนเห็นว่าภายในร่างกฎหมายดังกล่าว ยังไม่มีความชัดเจน แต่เมื่อพล.อ.ดาว์พงษ์ ชี้แจงนั้น ทำให้ตนสบายใจ แต่ตนก็มีข้อกังวลอยู่ก็คือ ลักษณะการออกโฉนดที่เกี่ยวข้องกับการทำสวนป่า ตนเห็นว่า ก่อนที่จะออกใบโฉนดหรือขึ้นทะเบียน ให้แต่ละพื้นที่เป็นพื้นที่ของสวนป่านั้น ควรตรวจสอบว่าในพื้นที่นั้น มีกรณีข้อพิพาททางกฎหมายหรือไม่ และจากการที่ในท้ายร่าง พ.ร.บ.ได้เพิ่มบัญชีไม้ท้าย พ.ร.บ. จาก 2 ชนิด เป็น 64 ชนิดนั้น ตนมีความเห็นว่า อาจจะทำให้ระบบนิเวศโดยรวมเสียหายได้ เพราะพื้นที่สวนป่าและพื้นที่ป่าธรรมชาติติดกันนั้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะทำให้เสียสมดุลตามธรรมชาติได้ ส่วน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิก สปช. ได้อภิปรายระบุว่า อยากฝากไปถึงคณะกรรมาธิการฯ ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมให้มีพื้นที่ป่าและให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของป่า แต่ควรที่จะมีมาตรการในการป้องกันคนที่ทุจริตนำไม้มาสวมสิทธิ์ว่าเป็นไม้ที่มาจากสวนป่าเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย ทางด้าน นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิก สนช. ได้อภิปรายว่า ในร่างมาตรา 4 ของกฎหมายนี้ ตนคิดว่า อาจจะก่อให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และอาจจะส่งเสริมให้คนทั่วไปตัดไม้มากกว่าการปลูกเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งตนเห็นว่าในร่างมาตรา 4 จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ และในร่างมาตรา 10 ที่ระบุว่า ในการทำไม้ที่ได้จากสวนป่า ผู้ที่ทำเป็นสวนป่าอาจจะตัดหรือโค่นไม้ แปรรูป ค้า และมีไว้ในครอบครอง ให้สามารถเคลื่อนย้ายไม้ผ่าด่านป่าไม้โดยไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้นั้น ตนเห็นว่า สภาพของคนไทยในเรื่องเสรีภาพกับความรับผิดชอบยังไม่สมดุลกัน จึงเกรงว่าจะเป็นช่องทางในการหลีกเลี่ยงทางกฎหมาย ซึ่งตนขอให้มีมาตรการในเรื่องนี้อย่างชัดเจนด้วย
ทางด้าน นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ ได้ชี้แจงว่า การขึ้นทะเบียนสวนป่าตามร่างมาตรา 4 จะมีนายทะเบียนตามกฎหมายคือ ในเขตกรุงเทพมหานครจะเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ส่วนในต่างจังหวัดนั้นจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งจะมีกฎเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด ซึ่งหากพบว่ามีกระบวนการขึ้นทะเบียนสวนป่าไม่ถูกต้องนั้น ก็จะถูกนายทะเบียนเพิกถอน ส่วนการขนย้ายไม้จากสวนป่าตามมาตรา 10 นั้น ก็จะมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่า ในสวนป่าดังกล่าว มีการปลูกไม้อะไรบ้าง มีการลงทะเบียนไม้ที่จะตัดอย่างเข้มงวด และมีการตอกเบอร์หรือทำเครื่องหมายสำคัญว่าเป็นไม้มาจากสวนป่า ตามหลักเกณฑ์ของร่าง พ.ร.บ.นี้ และการตัดไม้จากสวนป่า ก็จะมีการออกหนังสือรับรอง เพื่ออำนวยความสะดวกตามด่านป่าไม้ต่างๆ สำหรับกรณีการเพิ่มบัญชีไม้ท้ายร่าง พ.ร.บ. เป็น 66 ชนิด ซึ่งทางสมาชิกฯ เกรงว่าจะกระทบระบบนิเวศนั้น ตนเห็นว่า ส่วนใหญ่คนที่ทำสวนป่าก็ปลูกพืชในท้องถิ่น ตามหลักวิชาการและภูมิประเทศอยู่แล้ว ซึ่งทางนักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ทางการเกษตร ก็ได้ให้แนะนำแก่ผู้ที่ทำสวนป่าอยู่แล้ว ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มไม้ชนิดใดก็จะได้ประกาศในพระราชกฤษฎีกาต่อไป
ส่วน พล.อ.ดาว์พงษ์ ได้ชี้แจงว่า สมาชิก สนช. ส่วนใหญ่มีความกังวลว่าจะมีการสวมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อการทำสวนป่า โดยปัญหาเท่าที่ทราบก็คือเรื่องระบบกับคน ซึ่งปัญหาของเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั้น ก็คือว่าจะต้องควบคุมให้อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างไร ซึ่งตนยอมรับว่า ก่อนหน้าตนมีความกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้ แต่พอได้ฟังข้อเสนอแนะแล้วนั้น ก็พอจะมีทางออกว่าจะต้องอุดช่องว่างให้ได้ โดยตนรู้สึกว่าถ้าต้องการจะได้ลูกเสือก็ต้องจะเข้าถ้ำเสือ เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาก็จะต้องทำให้รอบคอบ
หลัง ที่ประชุมได้มีการลงมติเห็นชอบรับหลักการต่อร่างกฎหมายดังกล่าวโดยมีมติ เห็นด้วย 159 เสียง งดออกเสียง 3เสียง โดยมีการตั้งคณะ กมธ. เพื่อพิจารณากฎหมายดังกล่าว จำนวน 15 คน โดยมีระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน และกำหนดระยะเวลาในการทำงานของ กมธ. ชุดนี้ จำนวน 45 วัน