23 ต.ค.57 ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย นำโดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค รวมถึงกลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน นักวิชาการด้านพลังงานได้ร่วมกันแถลงข่าวความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ได้มีมติให้เปิดสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ทั้งบนบกในทะเล รวม 29 แปลง ซึ่งจะเปิดให้เอกชน ยื่นเรื่องภายใน 18 ก.พ.58 และมีนโยบายปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจี ตามขั้นบันได ที่กระทรวงพลังงานเสนอนั้น
โดย น.ส.รสนา กล่าวว่า การที่รัฐบาลรวบรัฐเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยไม่รอการปฏิรูปของ สปช.ไม่ค่อยมีเหตุผล จากการที่กระทรวงพลังงานได้ออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนว่า เวลาในการสำรวจหาแหล่งน้ำมันจะใช้เวลา ประมาณ 3 - 5 ปี แต่เวลาการทำงานของ สปช.มีไม่ถึง 1 ปี ตนคิดว่าทำไม่ถึงไม่รอการทำงานของสภาปฏิรูปก่อน ทำไมต้องรีบเร่งในการเปิดสัมปทานในครั้งนี้
ในส่วนที่กระทรวงพลังงานเผยว่า ต้องเร่งให้สัมปทานเพื่อความั่นคงทางพลังงาน เพราะปิโตรเลียมของประเทศไทยจะหมดภายในเวลา 8 ปี อันนี้เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและจงใจที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน การที่อ้างว่าจะหมดนั้น คือ การหมดอายุสัมปทานไม่ใช่ปิโตรเลียมหมด ซึ่งแหล่งที่จะใกล้หมดมีด้วยกัน 2 แหล่งใหญ่ ที่ให้สัมปทานมาตั้งแต่ พ.ศ. 2515 และจะหมดอายุ 2565 คือ แหล่งบงกต กับแหล่ง เอราวัณ ซึ่ง เมื่อหมดอายุสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมเหล่านั้นก็ต้องกลับมาเป็นของประเทศไทย ตาม พรบ.ปิโตรเลียม 2514 แต่การที่กระทรวงพลังงานเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ตนขอตั้งข้อสังเกตุว่า การให้แปลงพื้นที่ต่างๆ นั้น โดยเฉพาะแปลงที่อยู่รอบแหล่งเอราวัณ และแหล่งบงกต คือการวางหมากที่จะแก้กฎหมายในการต่อสัมปทานให้กับแหล่งเดิม
ในส่วนของแปลงใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ แปลงจี 1/57 ที่ไม่ได้อยู่ในแผนปี 2555 เดิม จะเกาะอยู่บนพื้นที่พิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา พื้นที่เหล่านี้อยู่ใกล้กับแหล่งนงเยาว์ และแหล่งจัสมิน ของมูบาดาลา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบ การที่ให้พื้นที่นี้ขึ้นมาโดยเกาะกับพื้นที่ใกล้เคียงของมูบาดาลา ของเพิร์ลออย เป็นที่น่าสังเกตุว่าเป็นการวางหมากที่จะยอมรับพื้นทีระหว่างไทยกับกัมพูชา การเปิดสัมปทานตรงนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาท ไม่ใช่พื้นที่ซับซ้อน เท่ากับทำให้ไทยยอมรับเส้นแบ่งเขตเหล่านี้ใช่หรือไม่
ส่วนพื้นที่ในอีสาน 23 แปลงที่ให้ไป จะกระทบสิทธิชุมชนอย่างร้ายแรง ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้สำรวจมาแล้วว่า เป็นแหล่งเชลล์ แก๊ส เป็นหินดินดานข้างใต้ วิธีการนำก๊าซเหล่านี้มาต้องใช้วิธี แฟรคกิ้ง กระบวนการดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน เมื่อไปขุดเจาะจะปล่อยก๊าซ ซัลเฟอร์ออกมา และจะกระทบต่อพื้นที่แกษตรกรรมทั้งภาค ซึ่งในการเปิดสัมปททานรอบที่ 20 ก็ได้ให้ไปเยอะแล้ว แต่ในรอบที่ 21 นั้นเปิดเกือบเต็มพื้นที่ ตนคิดว่าการวางแผนในการให้พื้นที่สัมปทานรอบ 21 คือ การเปิดช่องให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งในและนอกประเทศมาผูกขาดพื้นที่ในประเทศไทย และที่สำคัญการให้พื้นที่เหล่านี้ในระบบสัมปทานสามารถที่จะทำให้บริษัทเหล่านั้นนำพื้นที่ประเทศไทยไปเทรดกันในตลาดหุ้นได้ เราเห็นว่าจะสมควรคงระบบสัมปทานไว้หรือไม่ ตนคิดว่าระบบสัมปทานทำลายผลประโยชน์ชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อพูดถึงการปฏิรูปเราจะพูดถึงความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรมเพราะฉะนั้นทรัพยากรปิโตรเลียมเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด เพราะค่าภาคหลวงที่ได้มีสัดส่วนเพียง 2.5% จากสัดส่วนภาษีทั้งหมดที่อยู่ในงบประมาณแผ่นดิน ควรจะดำเนินแนวทางอย่างนี้อีกหรือไม่ ตนคิดว่าน่าเศร้าใจ ร.5 ปกป้องเอกราชให้ลูกหลาน แต่มาถึงยุคปัจจุบันเรากำลังส่งอนาคตให้ลูกหลานแบบนี้ ต้องตั้งคำถามกับประชาชนว่ายอมหรือไม่
"เราไม่เห็นด้วยกับการรีบร้อนในการให้สัมปทานขณะที่ยังเป็นประเด็นในการขัดแย้งกัน ต้องบอกว่ารัฐประหารครั้งนี้มาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาตัดสินเรื่องการให้สัมปทานอะไรเลย จึงขอให้ชะลอเรื่องนี้ไปก่อนเพราะว่าประเด็นของทรัพยากรธรรมชาติเป็นประโยชน์ ที่คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของไม่ใช่กระทรวงพลังงานที่จะตัดสินใจตามอำเภอใจ ประชาชนจึงต้องมารับรู้เรื่องนี้ เพราะอีสานทั้งภาคได้รับผลกระทบแน่นอน ขอให้ทบทวนและขอให้หยุด" น.ส.รสนา กล่าว
ด้าน นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา กล่าวว่า กรมเชื้อเพลิงอ้างว่าประชาชนใช้พลังงาน 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นั้นคาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเพราะการบริโภคน้ำมันโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 1,580,000 ต่อวันเท่านั้น
ส่วน นายประสิทธิชัย หนูนวล กลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน กล่าวว่า การให้สัมปทานในรอบที่ 21 นั้น ทางกลุ่มขาหุ้นเห็นว่า เป็นการยกอธิปไตยครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ทางกลุ่มมีความเห็นตรงกันว่า ไม่ควรจะเกิดขึ้นจนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมาย พรบ.ปิโตรเลียม 2514 ควรจะจัดสรรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รัฐบาลทหารไม่ควรใช้อำนาจที่มีอยู่ในการทำสัญญากับต่างชาติ กฎอัยการศึกทำให้เราพูดเรื่องปฏิรูปนี้ไม่ได้ แต่เราคิดว่าสาระสำคัญที่อยู่เหนือกฎอัยการศึกคืออธิปไตยของประเทศและเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ขณะที่ น.ส.บุญยืน กล่าวว่า ในการปฏิรูปหัวใจสำคัญคือการปฏิรูปพลังงาน เราเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรม สิ่งที่เราพบจากการที่เราออกมาเคลื่อนไหวเรากลับถูกควบคุมตัว เรื่องเหลานี้ไม่ใช่การมาปิดปากประชาชน ทางกลุ่มย้ำอีกครั้งไม่ได้เรียกร้องของถูก แต่ถ้ากลไกมันถูกต้องเราก็พอใจ และนายกพูดเสมอว่าจะไม่ได้เดินตามกลุ่มทุนนิยม แต่ตอนนี้เดินตามข้าราชการนิยม ไม่มีหูไว้ฟังชาวบ้านเลยมีไว้แค่ฟังเสียงข้าราชการ
นอกจากนี้ นายเดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรียกร้องให้เปิดเผยราคาก๊าซแอลพีจีของภาคปิโตรเคมี ซึ่งมีปริมาณการใช้มากที่สุด และใช้ถูกกว่าด้านอื่น และให้ปรับราคาแอลพีจีให้เท่ากับภาคครัวเรือน กับภาคการขนส่ง รวมถึงผลประโยชน์ส่วนต่างที่ได้จากการปรับราคาขึ้นของแอลพีจีจะต้องตกเป็นของรัฐ ไม่ใช่บริษัทที่เป็นผู้ผลิต หรือ ปตท.เพราะไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายการใช้ประโยชน์เชิงนโยบายที่ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี