'นิพิฏฐ์'เตือนดึงศาลนั่งที่ปรึกษา หวั่นก่อวิกฤตการเมืองรอบใหม่
วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557, 15.57 น.
Tag :
30 ต.ค. 57 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีแนวคิดที่จะขอคนในฝ่ายตุลาการ หรือศาล มาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ทำให้ นายสราวุฒิ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้แถลงย้ำถึงจริยธรรมศาลและผู้พิพากษาว่าไม่ควรไปเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีหรือข้าราชการการเมือง ว่า ตนขอให้รัฐบาลและรัฐมนตรีทุกกระทรวงตั้งหลักให้ดีในการจะขอบุคคลจากศาลหรือผู้พิพากษามาเป็นที่ปรึกษาหรือคณะทำงาน เพราะที่สุดแล้วจะเป็นการทำลายระบบศาลและกระบวนการยุติธรรมไทยซ้ำเติมลงไปอีก เนื่องจาก คสช.ไม่ทราบถึงต้นตอความขัดแย้งทางการเมือง เพราะตั้งแต่ต้นตั้งแต่ปี 2549 ที่ประชาชนไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมือง ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ จึงมีการออกแบบรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายตุลาการซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจหลักในระบอบประชาธิปไตยไทยเข้ามาช่วยพยุงอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ โดยให้ฝ่ายศาลเข้ามาคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบฝ่ายการเมือง จนถูกเรียกว่า ยุคตุลาการภิวัฒน์ จนฝ่ายการเมืองไม่ยอมและ สร้างวาทะกรรมโจมตีฝ่ายตุลาการว่า ยุติธรรม 2 มาตรฐาน ที่สุดระบบการปกครองของไทยจึงพังระเนระนาดทั้งระบบ วันนี้รัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจาก คสช.ยังพยายามดึงเอาบุคลากรจากฝ่ายตุลาการเข้ามาในวังวนของการเมือง ทั้งที่ฝ่ายตุลาการได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
นายนิพิฏฐ์กล่าวต่อว่า ตนจึงขอย้ำเตือนไปยัง คสช. ว่าหากจะยังพยายามดึงบุคลากรจากฝ่ายตุลาการเข้ามาอีกที่สุดจะเป็นการทำผิดซ้ำซ้อนและสร้างวิกฤติตุลาการรอบใหม่ขึ้น แม้กระทั่งนายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา คสช. และประธาน สนช. ในวันนี้ ตนยังรู้สึกไม่สบายใจ และขอเตือนถึง สปช.หรือ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ต้องเอาศาลหรือบุคลากรฝ่ายตุลาการออกจากกระบวนการ หรือวังวนทางการเมืองให้หมด ไม่เช่นนั้นเมื่อเกิดวิกฤตใดขึ้น จะไม่เหลืออำนาจใดไว้พยุงโดยเฉพาะฝ่ายศาลก็จะพังลงทั้งระบบ เพราะอำนาจหลักทั้ง 3 ควรจะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน