รับลูกคลังปิดบัญชี‘ข้าว’
ปปช.ขยี้‘ปู’
เอาไปขยายผลถอดถอน
‘สุภา’แฉซ้ำทำเจ๊งมากที่สุด
พท.โต้ปั้นตัวเลขเอื้อทำคดี
ขอเลื่อนคุยยกร่างเดือนธค.
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เตรียมนำข้อมูลปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่
ปี 2547 จนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว กระทรวงการคลังแถลง ระบุผลขาดทุนสูงถึง 6.8 แสนล้านบาท โดยเฉพาะสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขาดทุนสูงถึง 5.18 แสนล้านบาทไปขยายผลประกอบสำนวนคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวที่กำลังดำเนินการ
“สุภา”ย้ำรบ.ปูทำเจ๊งมากที่สุด
โดยน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช ในฐานะอดีตประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนว่า จากตัวเลขขาดทุนที่คณะกรรมการปิดบัญชีข้าวฯระบุจะเห็นว่าเฉพาะรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์สูงถึง 5.18 แสนล้านบาท ซึ่งป.ป.ช.กำลังพิจารณาความผิดผู้เกี่ยวข้อง ส่วนอีก 4 รัฐบาลก็มีตัวเลขขาดทุนในโครงการจำนำข้าวเช่นกันจำนวน 1.63 แสนล้านบาทนั้น ถือเป็นจำนวนเล็กน้อย เนื่องจากมีเพดานขาดทุนได้ 2-3 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง โครงการจำนำข้าวของ 4 รัฐบาลจำกัดการรับจำนำข้าวไม่ทุกเมล็ด
เล็งขยายผลฟัน“ปู-บุญทรง”
ด้านนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า ป.ป.ช.จะนำข้อมูลดังกล่าวไปขยายผลต่อ โดยใช้เป็นข้อมูลประกอบการแถลงเปิดคดีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กรณีถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ละเลยไม่ยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว เพื่อยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ จะนำข้อมูลดังกล่าวไปเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีไต่สวนการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย ส่วนการส่งตัวแทนแถลงเปิดคดีถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อสนช.คาดว่าน่าจะเป็นนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.และนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีดังกล่าว
ถกอสส.นัดหน้าไม่สรุปจ่อฟ้องเอง
ส่วนความคืบหน้าการทำงานของคณะทำงานร่วมป.ป.ช.และอัยการสูงสุด (อสส.) เรื่องการทบทวนความไม่สมบูรณ์สำนวนฟ้องคดีอาญาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายปานเทพกล่าวว่า คณะทำงานร่วมฯยังไม่ได้กำหนดว่าจะประชุมครั้งต่อไปเมื่อใด แต่คิดว่าครั้งหน้าน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย และควรได้ข้อสรุปว่าอัยการสูงสุดจะส่งฟ้องคดีจำนำข้าวให้ป.ป.ช.หรือไม่ ซึ่งป.ป.ช.ยืนยันไม่สอบปากคำพยานบุคคลใดๆเพิ่มให้อีกแล้ว เพราะหลักฐานที่ป.ป.ช.ไต่สวนมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
“ถ้าประชุมนัดหน้า คณะทำงานฝ่ายอัยการสูงสุดยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่า จะส่งฟ้องคดีให้ป.ป.ช.หรือไม่ ป.ป.ช.ก็จะเป็นผู้ฟ้องคดีดังกล่าวเอง”ประธาน ป.ป.ช.ระบุ
สอบทรัพย์สิน5รมต.คืบ80%เสร็จปี58
สำหรับการตรวจสอบทรัพย์สินของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำและระบายข้าวสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ และรมว. พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายยรรยง พวงราช อดีต รมช.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์นั้น นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับโครงการจำนำและการระบายข้าวสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์เผยว่า ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งคืบหน้าไปแล้ว 80% รอข้อมูลจากธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าประมาณต้นปี 2558 น่าจะเสร็จสมบูรณ์
“เหตุที่ช้า เพราะการตรวจสอบไม่เร็วเหมือนการขายโอเลี้ยง การให้ความเป็นธรรมกับทุกคนถือเป็นเรื่องใหญ่มาก จะมาทำอะไรลวกๆไม่ได้ การอำนวยความยุติธรรมนับเป็นหัวใจของการทำงานของ ป.ป.ช. ช้าไม่เป็นไร แต่ช้าแล้วเขาต้องได้รับความเป็นธรรม” นายณรงค์ กล่าว
ยัน3อดีตสว.ไม่ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่
ในเรื่องการส่งสำนวนไต่สวนคดีถอดถอน 38 อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ให้สนช.ถอดถอน ซึ่งในจำนวนนั้นมีอดีต ส.ว. 3 รายที่ขณะนี้เป็นสนช.และสมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทำให้มีคำถามว่าทั้ง 3 รายต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.กล่าวว่า ทั้ง 3 รายไม่จำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิม อย่างไรก็ตาม ถ้าสนช.ทำหนังสือสอบถามมา ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจวินิจฉัย แต่ถ้าใครสงสัยให้ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความได้
ท้าคนสงสัยยื่นศาลรธน.
เช่นเดียวกับ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.ที่ระบุว่าอดีต ส.ว.ทั้ง 3 คน ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว ไม่จำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และกรณีนี้ถือว่าหมดหน้าที่ ป.ป.ช.แล้ว แต่ถ้าสนช.เห็นว่าทั้ง 3 คนจำเป็นต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ก็เป็นหน้าที่ของ สนช.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความต่อไป
“พิชิต”ติงคิดค่าเสื่อมผิดหลักบัญชี
มีท่าที่จากพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างออกมาตอบโต้กระทรวงการคลังหลังแถลงตัวเลขขาดทุนโครงการจำนำข้าว โดยนายพิชิต ชื่นบาน คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยและที่ปรึกษากฎหมายน.ส.ยิ่งลักษณ์ตั้งข้อสังเกตว่า การปิดบัญชีของคณะอนุกรรมการฯชุดนี้ปิดบัญชีตามเอกสาร ซึ่งข้อสรุปตัวเลขก่อนหน้านี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการฯก็ยอมรับเองว่าตัวเลขบางส่วนยังไม่ตรงกัน เพราะยอดสินค้าข้าวที่ขายไปได้ในแต่ละงวดขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรม (อตก.) เมื่อรวมกันแล้วยังไม่ตรงกับยอดสต๊อกข้าวที่เหลืออยู่ แต่จู่ๆมาวันนี้สามารถนำข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไม่สมบูรณ์ มาแถลงปิดบัญชีได้ ถือเป็นเรื่องแปลกมาก
ชี้เคยยกประเด็นแย้งปปช.
อย่างไรก็ตาม นายพิชิตระบุว่า แต่ไม่แปลกใจที่ตัวเลขขาดทุนของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์จะสูงมาก เพราะอนุกรรมการฯใช้วิธีคำนวณมูลค่าสินค้าคงเหลือ ด้วยการหักค่าเสื่อมสินค้าแต่ละปีเข้าไปด้วย ซึ่งตามหลักการแล้วไม่สามารถทำได้ เพราะสินค้าเกษตรมีวิธีคิดค่าเสื่อมต่างกับสินค้าทั่วไป ที่สามารถลงบัญชีหักค่าเสื่อม เพื่อลบออกจากต้นทุนการดำเนินโครงการ ซึ่งตนเคยโต้แย้งประเด็นนี้ไว้กับป.ป.ช.แล้วว่า การปิดบัญชีโครงการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรต้องใช้หลักเกณฑ์ให้สอดคล้องกับการทำบัญชีเฉพาะ ซึ่งระบุไว้ชัดเจนในมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2552) เรื่องสินค้าคงเหลือซึ่งสินค้าเกษตรจะรู้กำไรขาดทุนได้ต่อเมื่อขายหรือเปลี่ยนแปลงมูลค่า แต่ไม่สามารถหักค่าเสื่อมเป็นรายปีแบบสินค้าปกติได้ โดยระบบหักค่าเสื่อมทางบัญชีจะนำมาใช้กับค่าเสื่อมสภาพทางการเกษตรไม่ได้ เพราะในหลักการบัญชีสากลนั้น ถือว่าเสื่อมราคาคนละแบบ การนับสภาพเสื่อมของสินค้าเกษตรจึงขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของสินค้านั้นๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปตามระยะเวลาตามระบบบัญชีทั่วไป และจะรู้มูลค่าสินค้าเมื่อขายจริง
ซัดปั่นตัวเลขเอื้อคดีเชือด“ปู”
นายพิชิตยังย้ำว่า เมื่อคณะอนุกรรมการฯใช้หลักเกณฑ์ที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริงตามหลักการมาตรฐานบัญชีทั่วไป มาคำนวณกับตัวเลขสต๊อกข้าวที่รอการระบายอยู่ ตัวเลขจึงสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งตนเชื่อว่า หากรัฐบาลสามารถเร่งระบายข้าวออกไปได้เร็ว ตัวเลขค้างสต๊อกจะลดลง และมีรายได้จากการระบายข้าวกลับเข้ามา หักลบกันไปตัวเลขก็ไม่น่าสูงมากขนาดนี้
“เรื่องนี้มีการจงใจสร้างตัวเลขให้สูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งจะส่งผลต่อรูปคดีที่มีการฟ้องว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารราชการผิดพลาดทำให้เกิดความเสียหาย จึงขอเรียกร้องให้คณะอนุกรรมการฯ เปิดเผยตัวเลขสรุปการปิดบัญชีครั้งนี้อย่างโปร่งใส ให้ทุกภาคส่วนรับรู้ โดยเฉพาะฝ่ายที่ถูกกล่าวหา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป”นายพิชิตกล่าว
ดักคออย่าตั้งธงเคาะวันแถลงเปิดคดี
ขณะที่นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าสนช.กำหนดวันนัดแถลงเปิดคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไว้แล้วในวันที่ 11 ธันวาคมว่า ถ้าเป็นจริง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของ สนช. ตามข้อที่ 149 ที่กำหนดให้ที่ประชุมนัดแรกของสนช.เท่านั้นเป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่ให้ใครคนหนึ่งกำหนดเองโดยพลการ ตนจึงขอตั้งข้อสังเกตและเรียกร้องให้สนช ยึดหลักนิติธรรมในการตีความและบังคับใช้ ข้อบังคับการประชุม โดยให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันกับคดีก่อนหน้านี้
ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเรียกร้องไปยังประธาน สนช.ด้วยว่า สำหรับการประชุมนัดแรกวันที่ 28 พฤศจิกายนของสนช. เพื่อพิจารณาสำนวนถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ สนช.ควรวินิจฉัยและมีมติ เรื่องคำคัดค้านของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ยื่นคัดค้านคำสั่งประธาน สนช.ก่อนหน้านี้ที่ให้บรรจุสำนวนถอดถอนของอดีตนายกรัฐมนตรี เข้าสู่วาระการประชุมนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คัดค้านการตราข้อบังคับการประชุม สนช. หมวดที่ 10 ส่วนที่ 1 ว่าด้วยการถอดถอนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2557 มาตรา 5 รวมทั้งคัดค้านการนำข้อบังคับการประชุม สนช. หมวดที่ 10 ส่วนที่ 1 ว่าด้วยการถอดถอนบุคลผู้ดำรงตำแหน่งตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาใช้ในการประชุม สนช.
“โต้ง”โวยมั่วตัวเลขดิสเครดิต“ปู”
เช่นเดียวกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตั้งข้อสังเกตตัวเลขความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวของกระทรวงการคลังว่า หลากหลายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 9 แสน 7 แสน 5 แสนก็ว่ากันไปทั้งที่ไม่จริง เป็นความพยายาม
รวมเอาภาระคงค้างจากโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลนักพูดเข้ามา และคงเตรียมจะบวกภาระใหม่จากโครงการแจกด่วนไร่ละพันเข้ามา ทำให้ได้ตัวเลขสูง เป็นที่เข้าใจผิดกับรัฐบาลก่อน
โบ้ยม็อบการเมืองต้นเหตุจำนำเจ๊ง
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯและรมว.พาณิชย์กล่าวว่า จำนวนตัวเลขที่อนุกรรมการปิดบัญชีฯระบุรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำเนินการ 4 โครงการ ขาดทุน 5.1 แสนล้านบาท หากขายข้าว 18 ล้านตันในสต๊อก มูลค่า 220,000 ล้านบาท จะเท่ากับ 3 ปี รัฐบาลขาดทุนปีละ 1 แสนล้านบาทโดยประมาณ เวลานี้เป็นการคิดในราคาขั้นต่ำ หากรัฐบาลขายข้าวปริมาณที่สูงขึ้น มูลค่าอาจมากกว่า 220,000 ล้านบาทก็ได้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะตัดสินใจขายข้าวเมื่อไร ส่วนข้าวเสื่อมขายไม่ได้จำนวน 10% เนื่องจากขณะนั้นมีการชุมนุมทางการเมืองนำประเด็นการจ่ายเงินให้ชาวนาไม่ได้มาเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ยิ่งทำให้ข้าวเสื่อมมากขึ้นอีก
จี้“บิ๊กตู่”เตือนปปช.อย่า2มาตรฐาน
ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาเรียกร้องว่า การที่อนุกรรมการปิดบัญชีจำนำข้าวระบุรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์บริหารโครงการจำนำข้าวเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาทต้องถอดถอน ถ้าเป็นเช่นนั้น ป.ป.ช.ควรยื่นถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หรือพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกฯข้อหาเดียวกันด้วย ตนอยากรู้ว่าเมื่อมีข้อมูลตัวเลขที่ชัดเจนแล้ว ป.ป.ช.จะยื่นถอดดถอนอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นเมื่อใด ที่สำคัญคือ หากย้อนดูความเสียหายขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)
จะเห็นว่ามากกว่าโครงการรับจำนำข้าวมาก จึงขอเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตรวจสอบเรื่องนี้ให้เกิดความเป็นธรรม และกำชับป.ป.ช.อย่าเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน โดยวันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น.ตนจะไปยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ให้ดำเนินการเรื่องนี้ รวมถึงยื่น ป.ป.ช.และรมว.ยุติธรรมด้วย
ปชป.บี้“ปู”รับผิดชอบจำนำข้าวเจ๊ง
มีความเห็นจากนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กว่า ผลปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียหายสูงถึง 5.19 แสนล้านบาท ถือว่าสูงกว่ารัฐบาลก่อนหลายเท่าตัว ย้ำความเสียหายใหญ่หลวงที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ นอกจากนี้ อยากให้มีการเปิดข้อมูลตรวจโกดังข้าวของม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในส่วนความเสียหายเรื่องข้าวเหลือง ข้าวเสีย ข้าวปลอมปนที่ตรวจพบ เพราะถ้ารวมผลตรวจดังกล่าวด้วยความเสียหายต่างๆของโครงการจำนำข้าวจะสูงกว่านี้
คลังจ่อออกพันธบัตรโปะหนี้ข้าวปี58
ขณะที่นายสมหมาย ภาษี รมว.คลังเปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวแล้วถึงผลขาดทุนจาก 15 โครงการ จำนวน 6.82 แสนล้านบาท ส่วนภาระค่าใช้จ่ายที่ใช้ในโครงการ เบื้องต้นอาจออกเป็นพันธบัตรรัฐบาล กำหนดอายุระยะสั้น อายุ 3 ปี 5 ปี หรือ 7 ปี ดูตามความเหมาะสมของตลาดเงินกู้ในขณะนั้น โดยจะเป็นลักษณะออกทดแทนเมื่อครบกำหนด ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ไปพิจารณาแผนให้รอบคอบเพื่อนำมาเสนอแล้ว คาดสามารถออกพันธบัตรชุดแรกได้ปีงบประมาณ 2558
ชี้สนช.รับเรื่องเชือด38สว.ได้ทันที
วันเดียวกัน นายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สนช.(วิป สนช.) กล่าวถึงกรณีป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอดีต ส.ว 38 คน และให้ส่งสำนวนถึงสนช.พิจารณาถอดถอนว่า กรณีนี้จะไม่มีการลงมติในที่ประชุม สนช.ว่าจะรับหรือไม่ เพราะเป็นกรณีเดียวกับนายนิคม ไวรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ซึ่งมีการลงมติไปแล้วสามารถรับเรื่องพิจารณาได้และขึ้นอยู่ที่ประธาน สนช.จะบรรจุเป็นวาระพิจารณาวันไหน ส่วนที่ว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติต้องห้ามของทั้ง สนช.และสปช.หรือไม่ก็ต้องไปดู แต่เมื่อป.ป.ช.ระบุแล้วว่าปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ ก็ไม่น่ามีปัญหา
‘เลิศรัตน์’เชื่อพท.ร่วมยกร่างแน่
สำหรับความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญนั้น เวลา 10.00น.วันเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนญ โดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน โดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยก่อนการประชุมถึงความคืบหน้ากรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) จะไม่เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นต่อกรรมาธิการยกร่างฯ นั้น ตนคิดว่าอาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยยังไม่พร้อมที่จะเข้าให้ความเห็น แต่เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะให้ความร่วมมือ เพราะทุกพรรคคงต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่อาจติดเรื่องของห้วงเวลาที่อาจต้องขอเลื่อนออกไปบ้างเพื่อการเตรียมความพร้อม ส่วนที่ระบุว่ายังไม่พร้อมเพราะไม่สามารถประชุมกรรมการบริหารพรรคได้เนื่องจากติดคำสั่งห้ามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) นั้น เรื่องนี้ให้ทำหนังสือขออนุญาต คสช.ได้
3พรรคตอบรับ-พท.เลื่อนต้นธค.
ต่อมา เวลา 15.00 น. นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษก กมธ.ยกร่างฯแถลงหลังประชุมว่า ที่ประชุมได้แสดงความเห็นในการวางกรอบแนวทางยกร่างรัฐธรรมนูญในหมวดต่างๆ ส่วนความคืบหน้าการเชิญพรรคการเมืองมาให้ข้อมูลกับกมธ.ยกร่างฯยังไม่มีการปฏิเสธจากกลุ่มใด โดยอยู่ระหว่างการประสาน ส่วนที่นัดพรรคเพื่อไทยวันที่17พฤศจิกายน ต้องเลื่อนไปก่อน เนื่องจากมีแนวโน้มว่า พรรคจะขอเลื่อนเป็นต้นเดือนธันวาคม เพราะผู้ใหญ่ติดภารกิจ ส่วนพรรคที่ตอบรับเป็นหนังสือมาแล้วคือ พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประสานเป็นการภายในว่า จะมาให้ความเห็นกับกมธ.ยกร่างฯในวันที่ 24พฤศจิกายนนี้ สำหรับกรณีพรรคการเมืองอยากให้ คสช.ปลดล็อค เรื่องห้ามประชุมพรรคนั้น กมธ.ยกร่างฯคงไม่ทำหนังสือไปถึง คสช.เพราะไม่ใช่อำนาจหน้าที่ อีกทั้งผู้ใหญ่ในรัฐบาลและคสช.ก็เปิดทางให้ขออนุญาต คสช.ได้อยู่แล้ว
ตั้งแง่ข้อเดิมอ้างติดกฎอัยการศึก
ด้าน พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ส่งหนังสือถึงประธานกมธ.ยกร่างฯเรื่งขอหารือการเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอข้อคิดเห็นในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีเนื้อหาว่า 1.พรรคศรัทธาต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด จำเป็นต้องมีที่มาและยึดโยงกับอำนาจประชาชน 2.การเชิญพรรคการเมืองเข้าร่วมแสดงความเห็นในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องดี แต่หลังยึดอำนาจ คสช.ได้ใช้กฎอัยการศึกและห้ามมิให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมใดๆทางการเมือง ส่งผลให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหนังสือแจ้งพรรคว่า การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ จะกระทำมิได้
ถ้ายกเลิกเข้าร่วมยกร่างแน่นอน
3.การรวบรวมระดมความเห็นต่างๆจากกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค อาจมีปัญหากระทบข้อกำหนดและคำสั่งของ คสช.และกกต.ได้ 4.พรรคยินดีให้ความร่วมมือและร่วมเสนอข้อคิดเห็นในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดและ5.พรรคขอความกรุณาให้คณะกมธ.ยกร่างฯ ประสานให้ คสช.และกกต.อนุญาตและงดเว้นข้อกำหนดที่อ้างถึงตามคำสั่งข้างต้น เพื่อให้พรรคจัดประชุมและระดมความคิดเห็นเพื่อนำข้อสรุปจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ หากเห็นชอบขอให้ประสานกลับมายังพรรคเพื่อแจ้งกำหนดการในการเข้าร่วมประชุมอีกครั้ง
คสช.จี้ลดอัตตา-ยกหูคุยกันก็จบ
ขณะที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯและทีมโฆษก คสช.กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองต้องการเรียกประชุมพรรคเพื่อหารือร่วมร่างรัฐธรรมนูญ แต่ยังติดคำสั่งคสช.ที่ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมว่า เรื่องนี้พรรคการเมืองสามารถยื่นขอให้ คสช.พิจารณาได้ ตนคิดว่าคสช.ไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น จึงขอให้อย่าวิตกจนเกินไป เพราะบางครั้งก็ไม่ต้องเรียกประชุม แค่ยกหูโทรศัพท์ก็คุยกันได้ แต่ท่านเล่นการเมืองและต้องการต่อสู้กันมากเกินไป ท่านต้องย้อนนึกถึงตอนที่เคยอยู่สถานะเป็นรัฐบาล ตอนที่เคยมีอำนาจ แล้วต้องการความร่วมมือ แต่ไม่มีใครให้ความร่วมมือท่านจะรู้สึกอย่างไร”ผมไม่อยากให้คำว่าท่านมีอัตตา แต่อยากให้ท่านมีมธุรสวาจา ก็จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นและจะช่วยลดความขัดแย้งต่างๆลง”
‘เทียนฉาย’ชี้ไม่ต้องเลิกอัยการศึก
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวมอบนโยบายและบรรยายพิเศษเรื่อง“มุมมองในการปฏิรูปประเทศและทิศทางการดำเนินงานของ สปช.และคณะกรรมาธิการ’ว่า การปฏิรูปต้องรื้อแนวคิด ระบบ โครงสร้าง เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนรูปแบบ จึงจะเรียกว่าปฏิรูป แต่การปฏิรูปไม่ใช่การปฏิวัติ เพราะจะไม่ให้มีการใช้กำลัง ตนมองว่า ไม่จำเป็นต้องยกเลิกกฎอัยการศึก แต่ได้คิดวิธีที่จะสามารถดำเนินงานควบคู่กับกฎหมายดังกล่าวแล้ว ซึ่งจะมีประสิทธิภาพและสอดคล้อง ซึ่งจะขอเปิดเผยวิธีการในสัปดาห์หน้า
ยอมรับกังวลการเปิดฟังความเห็น
ส่วนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของทั้งคณะกรรมาธิการทั้ง 18คณะยอมรับว่า เป็นกังวล ดังนั้นควรประสานสัมพันธ์ให้มีเอกภาพ ทั้งรูปแบบและวิธีการ กระบวนการและวิธีการในการรับฟังความคิดเห็นต้องถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ ไม่มีอคติ คณะกรรมาธิการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต้องวางแผนที่ดี ทำงานเป็นทีม ก่อนรับฟังความเห็นในระดับจังหวัด ต้องไม่ใช่การให้คำมั่นสัญญา เน้นการรับฟัง อย่างไรก็ตามการดำเนินงานของกรรมาธิการทั้ง 18 คณะ ควรจะมีการตั้งคณะขึ้นมาเพื่อประสานงานกับทั้ง 18คณะ
รบ.เล็งแถลงผลงานกลางธันวาฯ
ด้าน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมการหารือร่วมกับผู้แทนกระทรวงเรื่องการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ร่วมกับทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.)และผู้ประสานงานด้านข้อมูลข่าวสาร 20กระทรวง ว่า ได้เตรียมความพร้อมแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 3เดือน โดยจะจัดแถลงอย่างเป็นทางการและทำเอกสารแจกประชาชน จากนั้นรองนายกฯ ทั้ง 5คน จะสรุปงานแต่ละด้าน ส่วนวันแถลงขึ้นอยู่กับตารางงานนายกฯ แต่น่าจะหลังกลางเดือนธันวาคม
“บิ๊กตู่”เพลียเข้าทำเนียบฯสาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เสร็จสิ้นภารกิจประชุมอเปก ที่สาธารณประชาชนจีนและประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่25 ที่กรุงเนปิดอร์ ณ กรุงเนปยิดอ สาธารณรัฐแห่งสภาพเมียนมาร์และเดินทางกลับประเทศไทย
ต่อมา เวลา 11.00น.วันที่ 14พฤศจิกายน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้บันทึกเทปรายการ“คืนความสุขให้กับคนในชาติ”ที่ห้องรับรองชั้นล่าง ตึกไทยคู่ฟ้า เป็นเวลา 45นาที จากเดิมที่กำหนดบันทึกเทปเวลา 09.00น.จากนั้นนายกฯได้ขึ้นห้องทำงานชั้น2 ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อตรวจเอกสารและเซ็นงาน จากนั้น เวลา 14.00น.นายกฯจึงไปบันทึกเทปกล่าวคำถวายราชสดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบรอบ 87พรรษา 5ธันวาคม2557 ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง5 (ททบ.5) ทีมงานนายกฯได้แจ้งผู้สื่อข่าวว่า วันที่ 14พฤศจิกายน นายกฯไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
วอนชาวไทยร่วมสร้างประเทศ
เวลา 20.15น.พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”ผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตนมีภารกิจสำคัญต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน คิดถึงและเป็นห่วงพี่น้องประชาชนทุกท่าน ห้วงนี้มีการประชุมที่สำคัญๆในระดับภูมิภาค ระดับโลก หลายเวที การเดินทางไปประชุมเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ มีความจำเป็นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ เปิดโอกาสทางการค้าการลงทุนที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความก้าวหน้าเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอให้ประชาชนชาวไทยทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มั่นคงแข็งแรงอย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไปและขอให้เป็นกำลังใจให้กับรัฐบาลและคสช.ละอดีต แล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมกันนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี