ธาม เชื้อสถาปนศิริ
โลกนี้ไม่เหมือนเดิม..คำๆ นี้ใช้ได้กับทุกวงการไม่เว้นแม้แต่แวดวงสื่อสารมวลชน เห็นได้จากการแข่งขันในปัจจุบันที่ทวีความดุเดือดมากขึ้น และจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ไม่เพียงระหว่างสื่อหลักสำนักต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมาของ “สื่อสังคมออนไลน์” (Social Media) ที่วันนี้ใครๆ ก็ทำสื่อได้เองอีกด้วย จนบ่อยครั้งที่สื่อหลักเองก็เลือกหยิบยกประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์มานำเสนอ
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าด้วยความที่กระแสบนอินเตอร์เน็ตมีมาก ทำให้สื่อหลักเองทั้งไทยและต่างชาติที่หยิบยกประเด็นเหล่านี้มาเป็นข่าว ต้อง “หงายเงิบ” มาแล้ว เพราะบทสรุปกลับกลายเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง หรือแม้กระทั่งเป็นกลยุทธ์การโฆษณาสินค้า นอกจากนี้ สื่อหลักยังถูกตั้งข้อสังเกตอีกหลายประเด็น เช่น นำเสนอข่าวช้าเกินไป รอบคอบน้อยไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับการค้นหาข้อมูลของชาวออนไลน์ เป็นต้น
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขณะนี้ว่า วันนี้สื่อกระแสหลักมีจุดอ่อนสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1.ทำข่าวเอาใจโลกออนไลน์มากเกินไป เห็นกระแสในอินเตอร์เน็ตสนใจเรื่องไหน ก็แห่ไปทำแต่ข่าวเรื่องนั้น มากกว่าจะเป็นผู้นำทางสังคมในการชี้นำประเด็นที่ประชาชนควรให้ความสนใจ
2.ไม่มีอะไรใหม่ เนื่องจากการแข่งขันของสื่อทุกวันนี้ วัดกันที่ยอดผู้เข้าชม (View) หรือยอดคนกดสนับสนุน (Like) ดังนั้นเมื่อเว็บไซต์สื่อหลักแห่งหนึ่งเล่นข่าวที่เป็นกระแส เว็บไซต์สื่อหลักแห่งอื่นๆ จึงพากันเสนอข่าวนั้นตามบ้าง วงการสื่อหลักจึงขาดความหลากหลาย และ 3.ขาดการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบมี 2 ประเภท คือการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง หาว่าอะไรถูกอะไรผิด กับการตรวจสอบในเชิงลึก หรือเชิงขยายความที่ให้รายละเอียดที่มาที่ไป มากกว่าสิ่งที่คนบนโลกออนไลน์นำเสนอ
“นักข่าวทำงานง่ายเกินไป ใช้การดักเก็บข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เน้นการแชร์ การดูเรตติ้ง ดูยอดวิว ซึ่งมันไม่ต่างจากพฤติกรรมของชาวเน็ต ปัญหาคือการไม่ตรวจสอบข้อมูล อันที่หนึ่งคือไม่ตรวจสอบข้อเท็จข้อจริง อันที่สองไม่ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก เพราะคนที่อ่านข่าวเขาจะแยกออกว่านี่ข่าวจากเว็บนั้นเว็บนี้ หรือเพื่อนเขาแชร์กันมาสนุกๆ หรือจากสำนักข่าวออนไลน์ใหญ่ๆ ทำข่าวเหมือนกันเลยกับคนธรรมดา ความน่าเชื่อถือมันเลยตกต่ำลง
สื่อมวลชนทุกวันนี้ ผมไม่ค่อยเห็นข่าวที่มันแปลกสักเท่าไร เพราะสื่อมวลชนทำข่าวตามใจกระแสความสนใจของชาวเน็ตมากเกินไป เขาฮิตนั่นแชร์นี่ สาธารณะเขาสนใจอะไรก็ไปทำข่าวแบบนั้น ทำให้หน้าข่าวในโซเชียลมีเดียมันเหมือนๆ ซ้ำๆ กันไปหมด สำนักข่าว A เล่น สำนักข่าว B ก็เล่นตาม คือข่าวออนไลน์มันเห็นหลังจากที่ชาวเน็ตเขาแชร์กันไปแล้ว เขาอ่านกันไปเสร็จแล้ว คือมันช้า แล้วข่าวออนไลน์มันช้ากว่าข่าวชาวเน็ตเยอะเลย” อาจารย์ธาม กล่าว
ประเด็นต่อมา..ต้องยอมรับอีกว่าคนในยุคนี้ต้องการ “ความเร็ว” แม้กระทั่งตัวของ “แหล่งข่าว” เองก็ตาม นักวิชาการด้านสื่อ รายนี้ อธิบายว่า หลายครั้งที่แหล่งข่าวส่งข้อมูลให้กับสื่อ แล้วต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้รับการเผยแพร่เนื่องจากกระบวนการทำงานหลายขั้นตอน ทำให้รู้สึก “ไม่ทันใจ” เมื่อเทียบกับการเผยแพร่ลงในโลกออนไลน์ด้วยตนเอง ที่ได้รับผลสะท้อนกลับรวดเร็วกว่า ดังนั้นจึงไม่ต้อง “แคร์สื่อ” หรืออาศัยนักข่าวเป็น “คนกลาง” ในการเผยแพร่ข้อมูลอีกต่อไป
“คำว่าไม่แคร์สื่อนี่มันตลกมากนะครับ หมายถึงเขามีอำนาจที่จะพูดเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเอง แล้วข้อมูลลำดับแรกที่เขาได้นั้นเป็นข้อมูลจริงกว่า เขาจึงมีสิทธิ์ควบคุมได้มากกว่า หรือบางทีส่งประเด็นให้สื่อมวลชนแล้วมันช้า มันไม่ทันใจ กระบวนการกว่าจะตีพิมพ์ กว่าจะเผยแพร่นี่มันช้านะ
คือผู้คนสมัยนี้เขามีความคิด เขามีประเด็น คือมันเป็นยุค Now Generation คือมันต้องปล่อยทันที สื่อมวลชนเองที่ไม่เร็วพอ ยังใช้ไวยกรณ์แบบหนังสือพิมพ์รายวัน หรือข่าวต้นชั่วโมง คือคนที่เป็นนักข่าวออนไลน์นี่ต้องเร็วนะครับ ตรวจสอบข้อมูลแล้วเร็วพอที่จะไม่ทำให้แหล่งข่าวรู้สึกรอเก้อ” อาจารย์ธาม ระบุ
อีกจุดอ่อนหนึ่งที่ทำให้คนวิชาชีพสื่อสารมวลชน อาจตามไม่ทันข่าวสารบนโลกออนไลน์ในเชิงรายละเอียด เพราะหลักสูตรนิเทศศาสตร์ หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำข่าว ไม่ได้ถูกฝึกให้ผู้เรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง (Specialist) เมื่อเทียบกับชาวเน็ตที่แม้จะไม่ใช่นักข่าว แต่ก็มีความรู้เชิงลึกในวิชาชีพที่ตนทำงานมากกว่า ดังนั้นนักข่าวอาชีพ จึงไม่อาจเทียบได้กับบรรดาบล็อกเกอร์ (Blogger) หรือคนที่เขียนบอกเล่าเรื่องต่างๆ บนโลกออนไลน์
เมื่อถามต่อไปว่า ปัจจุบันนี้ก็มีนักข่าวประจำพื้นที่ เช่น ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา หรือกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ซึ่งก็ต้องรอบรู้ในส่วนงานนั้นๆ อย่างละเอียด เท่านี้ยังลึกไม่เพียงพออีกหรือ? อาจารย์ธาม อธิบายว่า ลักษณะการทำงานข่าวแบบนี้ เป็นเพียง “นักข่าวประจำแหล่งข่าว” เท่านั้น
แตกต่างจากนักข่าวอีกประเภท คือ “นักข่าวเฉพาะประเด็น” (Immersive Journalist) ที่ไม่ได้ทำงานตามสาย (การเมือง เศรษฐกิจ อาชญากรรม ฯลฯ) แต่ได้รับมอบหมายให้ตามเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงประเด็นเดียว และทำงาน “ฝังตัว” อยู่กับเรื่องนั้นๆ เป็นเวลานาน คล้ายกับการสืบสวนของหน่วยงานด้านความมั่นคง ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาเป็นข่าวจึงค่อนข้างลึกกว่าการทำข่าวแบบทั่วไป ซึ่งสำนักข่าวในต่างประเทศเริ่มฝึกนักข่าวลักษณะนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ผู้สื่อข่าวบ้านเราเป็นผู้สื่อข่าวที่ทำงานแบบกว้าง เช่น สายการศึกษา คือนักเรียนนิเทศศาสตร์ไม่ได้ถูกฝึกให้เชี่ยวชาญพิเศษสาขาใดสาขาหนึ่ง คุณไปเปรียบเทียบกับบล็อกเกอร์ไม่ได้ คนที่เป็นบล็อกเกอร์เขาเชี่ยวชาญทางใดทางหนึ่ง แล้วเขาแม่นยำในสิ่งที่เขาเขียน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ เพราะประชาชนทำงานทั่วไปเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้ว ฉะนั้นความสามารถในการเจาะเรื่อง สื่อมวลชนทำไม่ได้อยู่แล้ว
มันถึงมีแนวคิดเรื่องอิมเมอร์ซีพเจอร์นัลลิสต์ ก็คือนักข่าวประเภทฝังตัว ก็คือต่อไปในอนาคต องค์กรสื่อก็จะเคี่ยวข้นให้นักข่าวแต่ละคนไม่ได้ทำข่าวตามสายเฉพาะทาง แต่ตามเฉพาะเรื่อง เพราะเขามองเห็นลักษณะของการเป็นบล็อกเกอร์ เขาจะเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เขาไม่ต้องทำเยอะ นักข่าวบ้านเราคุณประจำแหล่งข่าว คุณประจำกระทรวง แต่อิมเมอร์ซีพเจอร์นัลลิสต์ จะตามลึกไปที่ประเด็น ไม่ใช่วันนี้มีพาดหัวข่าว ไม่ใช่แค่ประจำกระทรวง” นักวิชาการด้านสื่อ รายนี้ ให้ความเห็น
คำถามที่เกิดขึ้น..แล้วสื่อหลักยังจำเป็นต่อสังคมอยู่หรือไม่? อาจารย์ธาม กล่าวว่า วันนี้สื่อหลักต้องทบทวนบทบาทว่าจะทำอะไรกันต่อไป เมื่อบทบาทของนักข่าวในฐานะคนกลางลดลง ทั้งในแง่ของผู้กลั่นกรองข้อมูล (GateKeeper) ผู้กำหนดประเด็นของสังคม (Agenda Setter) และผู้เฝ้าระวังภัย (Watch Dog) ที่เป็นผลจากการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ทำให้บุคคลทั่วไปมีอำนาจในการนำเสนอสิ่งที่ตนอยากพูดอยากบอกมากขึ้น
ถึงกระนั้น..แม้โลกออนไลน์จะมีข้อเหนือกว่าสื่อหลักหลายประการข้างต้น แต่ในทางกลับกัน สื่อหลักก็ยังมีจุดเด่นที่ชาวเน็ตส่วนใหญ่ไม่มี นั่นคือทักษะในการเรียบเรียงประเด็นให้น่าสนใจ และการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหากคนทำสื่อหลักยังรักษาจุดยืนนี้ไว้ ก็ยังคงดำรงความน่าเชื่อไว้ได้ แม้จะเป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ท่วมท้นก็ตาม
“ยุคนี้การทำข่าวที่ประสบความสำเร็จ คือการทำข่าวแบบอิมเมอร์ซีพเจอร์นัลลิสต์ หรือการทำข่าวแบบฝังตัวเจาะลึกอย่างเข้มข้นยาวนาน กับอย่างที่สองคือการทำข่าวแบบคราวด์ครอสซิ่ง (Crowd Crossing) หรือการใช้มวลชนเป็นแหล่งข้อมูล คุณต้องเข้าใจว่าคนทั่วไปเขาก็ไม่ได้มีทักษะการเล่าเรื่อง เขียนไม่เก่งเล่าไม่เก่ง
ฉะนั้นสื่อมวลชนต้องใช้ประชาชน ใช้แหล่งข้อมูลให้เป็นประโยชน์ แล้วตนเขียนดีเขียนเก่ง หรือทักษะการตรวจสอบแหล่งข้อมูลข้อเท็จจริง อันนี้เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนยังเหนือกว่า แล้วสิ่งที่ต้องเพิ่มขึ้น ผมแนะนำว่าต้องเพิ่มทักษะการทำข่าวเชิงเดี่ยว ทำข่าวแบบฝังตัว ทำข่าวแบบใช้แหล่งข้อมูลในอินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ แบบนี้คือการปรับตัวในเทรนด์ใหม่ แต่เมืองไทยยังไม่คุ้นกับการทำข่าวแบบนี้มากนัก
การนำข่าวจากโลกออนไลน์มาเล่นยังเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องมีลักษณะงานทางด้านเจอร์นัลลิสติกหรือวารสารศาสตร์ ต้องทำให้แตกต่าง เช่น ข่าวในอินเตอร์เน็ตเป็นข่าวที่เขียนโดยประชาชนโดยคนทั่วไป ดังนั้นมันจะมีอารมณ์แฝงขึ้นมา ฉะนั้นสิ่งที่เจอร์นัลลิสติกมีคือความแม่นยำ ถูกต้องครบถ้วน และที่สำคัญคือไม่ใส่อารมณ์ลงไป” นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน รายนี้ ฝากทิ้งท้าย
โลกนี้ไม่เหมือนเดิม..แม้คำๆ นี้จะเป็นความจริงแม้กระทั่งวงการสื่อสารมวลชน แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คนทำสื่อหลักยังคงได้รับความเชื่อถือ คือจุดยืนในการเลือกนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วน และเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อสาธารณชน มากกว่าที่จะทำเพียงการวิ่งตามกระแสความสนใจของผู้คน ที่บ่อยครั้ง “ขึ้นเร็ว-ลงเร็ว” แต่มิได้เกิดประโยชน์อันใด
นอกจาก “เสียงซ้ำเติม” หากวันหนึ่ง “ทำพลาด” ก็เท่านั้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี