21 พ.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.15 น.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า สัปดาห์นี้มีเรื่องน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง กรณีเฮลิคอปเตอร์กองทัพบกประสบอุบัติเหตุเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้นายทหารเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ 9 นาย ซึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่ระดับรองแม่ทัพรวมอยู่ด้วย ทุกท่านนั้นเป็นผู้ที่ได้เสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอดชีวิตรับราชการ ตนในนามของรัฐบาลและอดีตผู้บังคับบัญชา ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตทุกท่านอย่างสุดซึ้ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า หลักการในการบริหารราชการในปัจจุบัน คือ ข้าราชการนั้นต้องน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" และ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นหลักในการปฏิบัติ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน การร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมปฏิบัติ อย่างสามัคคีนั้นจะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ความพึงพอใจและความสุขอย่างยั่งยืนของประชาชน
ในส่วนของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ นายกฯ กล่าวว่า สำหรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจนั้น นับเป็นห่วงโซ่ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ทั้งในระดับประชาชนแต่ละกลุ่ม ทั้งเล็กและใหญ่ ต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เศรษฐกิจในภูมิภาค ไปจนถึงเศรษฐกิจการค้า การลงทุนในเวทีโลก ซึ่งมีข้อผูกมัดพันธสัญญาต่างๆ มากมาย ที่ไม่เพียงแต่ผูกพันเราเฉพาะมิติเศรษฐกิจ แต่ยังคงเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งการเมือง ความมั่นคง สังคม และวัฒนธรรม เพราะนั้นเราทุกคนในทุกระดับ ก็จำเป็นต้องปรับตัว มีความตระหนักรู้ และรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งสิ่งสำคัญคือประชาชน รัฐ เอกชน หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งปวงนั้น ก็จะต้องร่วมมือกันทำงาน อย่างประสานสอดคล้องในทุกมิติอย่างพร้อมเพรียงกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น วัตถุประสงค์หลักๆ ก็คือ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน ทั้งในเรื่องการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน เพิ่มราคาขาย เพิ่มผลกำไรให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต เลี้ยงดูครอบครัว ไม่ให้มีปัญหาปากท้อง ปัญหาสังคม และในเรื่องของการรักษาพยายาล สามารถจ่ายภาษีให้กับรัฐได้ เพื่อนำงบประมาณจากภาษีทุกรูปแบบ ไปใช้จ่าย จัดสรรสวัสดิการกลับไปสู่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยการบริหารราชการแผ่นดินนั้น จะต้องมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้สามารถนำมาประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการพัฒนาประเทศเป็นไปตามวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ร่วมกันล่วงหน้า
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราต้องรีบปรับตัวให้ทันต่อการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2015 คือการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน การเตรียมความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ ทั้งความรู้ การศึกษา ความชำนาญในการประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพด้านต่างๆ และภาษาเพื่อรองรับการพัฒนา การค้า การลงทุน ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มีการแข่งขันกันมากขึ้น รวมทั้งทันต่อการพัฒนาของประเทศเพื่อนบ้าน ภูมิภาคอาเซียน และประชาคมโลกที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว เราจะต้องปรับเทคโนโลยีให้ทันสมัย ทั้งในธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน สร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สร้างภูมิปัญญาไทย สร้างแบรนด์ไทย ให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติ เพื่อการเปิดตลาดใหม่ให้ได้อย่างโดยเร็ว
"รัฐบาลจะต้องวางมาตรการที่เอื้ออำนวย ส่งเสริมให้เกิดการค้า การลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ให้ทันกับประเทศอื่นๆ โดยจะต้องลดอุปสรรคต่างๆ ทั้งทางการค้า ทั้งกฎหมาย และขั้นตอนที่ยุ่งยาก ตลอดจนการมอบสิทธิประโยชน์ในการลงทุนที่เหมาะสม ควบคู่กับการมุ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก วันนี้ ประชาคมโลกนั้นพูดกันถึงวิสัยทัศน์ปี 2015 , 2025 และ 2035 เราก็จำเป็นต้องศึกษา และวางแผนเตรียมการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ได้ในระยะยาว" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องเงินอุดหนุน หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำต่างๆนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราว ยังไม่ยั่งยืน รัฐบาลจะต้องใช้วิธีการทั้งรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ในการขับเคลื่อน ประชาชนต้องปรับตัว เรียนรู้ มีกระบวนการคิดที่ดีเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการร่วมมือกัน คงไม่ใช่การรวมกลุ่มเพื่อสร้างเงื่อนไขแต่เพียงอย่างเดียว เป็นการรวมกลุ่มกันช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไข จะทำให้สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆ และแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้ สิ่งใดที่เป็นปัญหาก็เตรียมการป้องกันแก้ไขไว้ก่อน หากยังมีความไม่ไว้วางใจกันซึ่งกันและกัน ไม่เชื่อใจกัน ยังมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกันอยู่ โดยคนบางกลุ่มก็ยังไม่ค่อยจะปรับทัศนคติ ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นคงแก้ไขไม่ได้ ทั้งวันนี้และในอนาคตด้วยเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย สิ่งเหล่านั้นก็ยังคงเป็นปัญหา เป็นความขัดแย้ง เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป
"ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังจัดระเบียบ หรือปฏิรูปใดๆ นั้น รัฐบาลพยายามจะทำให้ไม่กระทบความเป็นอยู่ของสุจริตชน ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะการบังคับใช้กฎหมายและการเปลี่ยนแปลงใดๆนั้น ก็จะต้องมีทั้งผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสีย ซึ่งก็จะต้องมาดูกันว่าเราจะมีมาตรการอย่างไร ในการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบต่างๆ รัฐบาลยืนยันจุดยืนในการรักษาความถูกต้องและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ในการที่เราจะร่วมกันก้าวผ่านกับดักของประเทศเราให้ได้ เพื่อจะนำประเทศเราก้าวไปข้างหน้า" หัวหน้า คสช.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาข้อขัดข้องสำคัญๆ ที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประสบ และประเมินแล้วพบว่า การขับเคลื่อนการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติยังไม่เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ ยังไม่มีผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนมากนัก เนื่องจากอาจจะขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และเพียงพอ ข้าราชการและหน่วยงานระดับผู้ปฏิบัติที่ใกล้ชิดกับประชาชน ยังอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งในนโยบายเท่าที่ควร ทำให้ไม่สามารถที่จะประยุกต์ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม หรืออาจจะมีการสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจได้ชัดเจนไม่มากนัก เพราะฉะนั้นการทำงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ต้องไม่ขาดความประสานสอดคล้องซึ่งกันและกัน ทั้งแผนงาน โครงการ และงบประมาณ ซึ่งอาจจะทำให้การวัดผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจของประชาชนนั้น ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรองรับได้ ในสถานการณ์ในปัจจุบัน นี่คือมุมมองของรัฐบาลในปัจจุบัน ต้องช่วยกันทุกหน่วยงาน
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในการขับเคลื่อนนโยบายใหม่ๆ หรือการแก้ไขปัญหานั้น ก็ต้องมีความเข้าใจให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดการต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือ มีการปลุกปั่น อาจจะเกิดจากผู้มีอิทธิพล ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ทั้งกลุ่มเดิม และกลุ่มใหม่ ยังคงมีอยู่กลุ่มเหล่านี้ อาจจะยังไม่เข้าใจในบทบาทของตนเองว่า ทุกท่านก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวใดๆ ต้องคำนึงถึงความสงบสุขของประเทศไทย และประชาชนไทยโดยรวม เราไม่เคยมีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ขอวิงวอนให้ท่านทำหน้าที่ของท่านได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาหลักความสมดุล ระหว่างเรื่องของท่าน ของสากลโลก กับการสร้างความก้าวหน้า ความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยในอนาคตด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน สื่อสารมวลชนนั้น ขณะนี้ยังขับเคลื่อนร่วมมือกันยังไม่ได้เต็มที่ ดีขึ้นมาก อาจจะต้องมีการพูดคุยปรับทัศนคติที่มีต่อกัน หันหน้ากัน พูดคุยกันทุกช่องทาง ส่งเสริมกันบ้างในสิ่งที่ดีๆ พร้อมทั้งเสนอความคิดเห็นต่างเหล่านั้น ตามช่องทางที่มีอยู่ ที่เหมาะ ที่ควร ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติจริง ถ้าหากว่าเราสร้างเงื่อนไขต่อไป หรือแสดงความขัดแย้งกันต่อไป ก็จะเกิดประเด็นความขัดแย้งใหม่ และขยายแผลเก่าในสังคม ซึ่งมีอยู่มากมายในปัจจุบัน จนรัฐบาลก็ไม่สามารถจะแก้ไขหรือดำเนินงานอะไรได้เลย เราทำเพื่อประชาชนทุกคน รับฟังเสียงทุกเสียง แต่จะหาช่องทางใดที่ถูกต้องที่รวดเร็ว และก็มีผลในเชิงปฏิบัติได้มากก็ขอให้เชิญเขามาเลยทุกคนทราบดีอยู่แล้ว
"วันนี้ถ้าหากว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทย ว่าอยู่ในลักษณะใด ในปัญหาใด ก็ขอเรียนว่าวันนี้ เราย้ำอีกครั้งเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติมากนัก ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้นก็ตาม บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย แต่เราก็มีความจำเป็น ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งกฎหมายปกติและกฎหมายพิเศษ อย่างระมัดระวังเพื่อรักษาบรรยากาศในการพัฒนา และเพื่อลดความขัดแย้ง แต่ขอร้องไม่ให้ก้าวล่วงละเมิดซึ่งกันและกัน รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลพิเศษ มาเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ได้มาสร้างปัญหา หรือว่ามาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พร้อมที่จะรับฟังทุกเรื่อง เราจะแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมทั้งวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไปด้วย ซึ่งเราคงต้องการความร่วมมือ และเชื่อใจจากพี่น้องทุกคน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่ผิดกฎหมาย หรือเรื่องที่เป็นความขัดแย้งกันอยู่ ทั้งอดีตและปัจจุบัน เราก็อยากให้ทุกพวกทุกฝ่ายนั้นเข้ามาร่วมหารือพิจารณานำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม หากว่ายังคงถูกต่อว่าจากบางกลุ่ม บางฝ่ายว่าเราสร้างปัญหา และพยายามนำปัญหาเดิมๆ มาตำหนิการทำงานของเราในวันนี้ ก็น่าจะไม่ถูกต้องนัก รัฐบาลก็ยังคงใช้ความเพียรพยายาม ในการจะสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ก็คงต้องมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น อาจจะไม่ได้มากนัก เพราะว่าเราต้องการแก้ไขปัญหา แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่ จะไม่ไปก้าวล่วงให้เป็นไปตามขั้นต้อนของกฎหมาย ซึ่งก็อาจจะไม่ทันอกทันใจบางคนบางกลุ่ม
"ผมคิดว่าอะไรที่ผิดก็ต้องผิด อะไรที่ถูกก็ต้องถูก หากทุกคนยึดถือกฎหมาย เคารพในกระบวนการยุติธรรม ที่ปราศจากความกดดัน ไม่มีกฎหมายพิเศษ ไม่มีกฎหมายพิเศษมาบังคับหรือมีกลไกต่างๆ ที่นอกเหนือจากกระบวนการยุติธรรมปกติมาบังคับมาแก้ไขกัน ผมว่าก็ไม่มีเรื่องราว ที่จะขัดแย้งกันอีกต่อไป เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนเร่งรัดหรือชี้นำแล้วก็ไม่ด่วนตัดสินกันเอง ตามอารมณ์ความรู้สึก มิเช่นนั้นแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาอีก ขัดแย้งกันได้อีก เราต้องส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมให้ได้รับการยอมรับ โดยรัฐบาลนั้นยึดมั่นในความเป็นกลาง เป็นกลางระหว่างถูกกับผิดกฎหมาย ไม่ใช่เป็นกลางระหว่างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใครทำผิดก็ว่าไป ใครทำถูกก็ว่าไป ใครที่มีเจตนาบริสุทธิ์เราก็ไม่ได้ว่าอะไร อันที่จริงแล้วนั้น อำนาจฝ่ายบริหารนั้น มีอย่างจำกัดเราก็พยายามไม่ก้าวก่ายใครอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของเราคือการกำกับดูแลให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม เพื่อจะรักษาบรรยากาศในการปรองดองของคนในชาติ" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า โดยสรุปแล้วสิ่งที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งต่อไปในอนาคต ก็คือ ประการแรก ในการเรื่องตัดสินในคดีต่างๆ นั้น การใช้กระบวนการยุติธรรมหากไม่ได้รับการยอมรับ แล้วมีผู้เห็นต่าง แน่นอนต้องมีการผิดถูกข้างใดข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นหากมีการปลุกระดมประชาชน โดยการใช้คำพูด โดยใช้สื่อ ที่อาจจะไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองมากนักเหล่านี้จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปได้อีก ประการที่สอง คือ เจ้าหน้าที่ถูกกดดัน ทำงานภายใต้สภาพแรงกดดัน ทำให้การใช้วิจารณญาณหรือการดำเนินการไปตามหลักการนั้น ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง หรือหลักฐาน หรือกฎหมายที่มีอยู่ทุกคนต้องเคารพอัตตาตัวเองให้ได้ ประการที่สาม ก็คือ ในเรื่องสื่อ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ในเรื่องของโซเชียลมีเดียทั้งหมด ทั้งในและนอกประเทศ ก็ยังคงมีอยู่ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดแค้น ชิงชัง ไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก โดยการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่ Hate Speech เป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจริง มีวัตถุประสงค์แอบแฝงบางอย่างอยู่
"ผมในฐานะผู้นำรัฐบาล จำเป็นต้องรักษาสถานการณ์ให้เป็นปกติ ประชาชนปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องรักษาสถานการณ์ในช่วงนี้ ในระยะที่สอง ซึ่งมีการปฏิรูปในหลายๆ ด้าน และต้องนำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ เรารอไม่ได้ที่จะต้องขับเคลื่อน ทั้งการบริหารประเทศ บริหารแก้ไขปัญหาภายในประเทศและการสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศให้มีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างเสถียรภาพให้กับประเทศไทย ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม แล้วก็เพิ่มมูลค่าในการค้าการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น" นายกฯ กล่าว
หัวหน้า คสช.กล่าวต่อว่า ขอยืนยันว่า ถ้าหากว่าเรานั้น ยังคงมีความขัดแย้งกันต่อไปหรือว่าขัดแย้งต่อการทำงานของรัฐบาลโดยที่ไม่มีเหตุผล โดยที่ไม่ขาดข้อเท็จจริงจะทำให้ประเทศนั้นขาดความมีเสถียรภาพอีก ซึ่งทุกประเทศในโลกต้องการทั้งหมดให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง บ้านเมืองเป็นปกติสุข เขาก็พร้อมที่จะลงทุนในประเทศเรา พร้อมที่จะเดินหน้าร่วมกับประเทศเรา คำว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เข้มแข็ง ที่ทุกคนคาดหวัง ที่เรากำลังร่วมกันสร้างขึ้นมานั้น ถ้าหากว่ายัง ขัดแย้งกันอยู่ต่อไปก็เกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอนก็เป็นแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
"สำหรับเรื่องสื่อต่างๆ นั้น ผมเรียนขอร้องอีกครั้ง ทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ สื่อมวลชน พิธีกรรายการ ขอให้เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองว่า ถ้าหากท่านจะใช้เสรีภาพของสื่อว่าไม่มีขอบเขต ไร้ขอบเขต อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศชาติในสภาวการณ์แบบนี้ รัฐบาล และ คสช.ไม่เคยมีความคิดที่จะไปใช้ความรุนแรงใดๆ กับท่านเลย ก็ชี้แจงทำความเข้าใจกัน วันนี้ผมได้สั่งให้นำผลสรุปของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยของสถานีโทรทัศน์ ที่จัดมาผมเห็นสรุปวันนี้ก็ดูดี นำมาแล้วเดี๋ยวจะให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปศึกษา ไปดู เพื่อจะนำแนวความคิดเหล่านั้นมา ที่ผ่านมานั้น ถ้าท่านทำมาแบบนี้ เราก็ไม่เคยมีปัญหากับท่าน ถ้าท่านมาว่ากล่าวเรา ว่ากล่าวรัฐบาล ว่ากล่าว คสช.อันนั้นไม่ถูกต้อง แต่ท่านสรุปมาว่าประชาชนต้องการอะไรแค่นี้ง่าย ง่ายจะตายไป เพราะฉะนั้นทำให้ถูกช่องทางแบบนี้ก็ไม่มีใครมาก้าวล่วงซึ่งกันและกัน ในวันนี้เราจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพราะว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ยังไง เพราะฉะนั้นก็ขอให้เคารพกฎหมาย เคารพคนอื่นเขา มีจริยธรรมและก็ส่งเสริมการปฏิรูป ต้องปรับตัวช่วยกันนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงสร้างสรรค์ ผมยินดีรับฟังทุกสื่อ ทุกช่อง ทุกคนด้วยซ้ำไป แต่อย่าไปสร้างปัญหา อย่าไปสร้างความเกลียดชังให้กับพวกเรา" หัวหน้า คสช.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เราไม่ใช่รัฐบาลที่ต้องการสร้างปัญหา หรือสร้างความขัดแย้ง เรามาแก้ไขตรงกลางให้ได้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เฉลี่ย แบ่งปันให้ทุกคนได้มีความสุขมีความพอใจ อำนวยความสะดวก สนับสนุนให้ทุกกลุ่มได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา เพราะฉะนั้นอย่าลากเราเข้าไปอยู่ตรงในสนามด้วย ในสนามการแก้ไขด้วย เพราะเราถือว่า อาจจะยกง่ายๆ ว่า พูดง่ายๆ ว่า เราเป็น "ผู้จัดการแข่งขัน" แล้วกัน ถ้านำ "ผู้จัดการแข่งขัน" เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับผู้เล่นก็เป็นปัญหา กรรมการก็คือจะต้องเป็นคนตัดสิน กรรมการวันนี้ ก็คือ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ รัฐบาล คสช.เป็น "ผู้จัดการแข่งขัน" กรรมการ แล้วก็นักกีฬา เพราะทุกๆ คนก็ทำหน้าที่กันตามนั้น ในส่วนของกรรมการก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่ของกฎหมายในการแก้ปัญหาให้เกิดความเป็นธรรม ประชาชนพึงพอใจ จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งกันอีก เหมือนว่าการแข่งกีฬาจะดูกีฬาให้สนุกกรรมการก็ต้องดี ต้องเป็นธรรม นักกีฬาก็ต้องเคารพ ในกติกา ผู้จัดการแข่งขันก็จะคำนึงถึงความปลอดภัยของการดูกีฬา ต้องช่วยกัน ถ้าลากทุกอย่างมาปนกันไปหมด กีฬาก็แข่งขันไม่ได้เหมือนกับอะไร ก็เหมือนกับวันนี้ปฏิรูปไม่ได้เลย ถ้าตีกันไปตีกันมาอย่างนี้ก็ติดกับดักเหมือนเดิม ไปไหนไม่รอด
สำหรับความคืบหน้าในการบริหารราชการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องที่สำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ด้านเศรษฐกิจได้มีประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ได้ขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้เกิดขึ้นให้ได้ 5 พื้นที่ ภายในปีงบประมาณนี้ อันได้แก่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พื้นที่ชายแดน จังหวัดตราด จังหวัดมุกดาหาร และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ทุกหน่วยงานกำลังเร่งดำเนินการ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแผนงาน งบประมาณ และผังเมือง รวมทั้งมาตรการสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการลงทุนของผู้ประกอบการ รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะว่าเชื่อมโยงในการสร้างการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจจากในประเทศไปสู่ชายแดนค้าขายระหว่างประเทศแล้วก็เชื่อมโยงไปสู่ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน แล้วก็ไปประชาคมโลกอื่นๆ รวมทั้งในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าตามแนวชายแดนและการสร้างอาชีพรายได้ให้กับประชาชนที่ยากจนตามพื้นที่ชนบท มีการปรับรูปแบบทั้งหมดในขณะนี้
นายกฯ กล่าวอีกว่า งานด้านความมั่นคง จากที่เรียนไปแล้วว่า รัฐบาล และ คสช.นั้น จะต้องรักษาสถานการณ์ให้เอื้ออำนวยต่อการปฏิรูป แล้วนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์มีการเลือกตั้งนั้น เราต้องขอขอบคุณทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่ส่วนใหญ่เข้าใจแล้วก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะอย่างไรก็ตามในเรื่องของการสร้างความปรองดองให้กับคนในชาตินั้น ทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน พรรคการเมือง ต่างๆ นั้น ต้องช่วยกัน ความขัดแย้งถ้าหากว่าความคิดขยายไปทั่วลุกลามบานปลายไปไปถึงเด็ก ถึงผู้ใหญ่ ถึงทุกคน ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน เหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว ในขณะนี้ทุกคนต้องนำอดีตมาเป็นบทเรียน เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นหัวหน้าแต่ละส่วนแต่ละฝ่าย ต้องหาวิธีการพยายามให้ทุกคนละทิ้งความขัดแย้ง ละทิ้งตัวตนไว้ก่อนแล้วร่วมแรงร่วมใจกันสร้างประเทศ เราก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะนำความรัก ความสามัคคีกลับคืนมาสู่ประเทศไทย
จากด้านการศึกษานั้น ตนได้เรียนไปแล้วว่า การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมนั้น ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะสร้างความทัดเทียมทางการศึกษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล มีครูน้อย ตนต้องขอความร่วมมือจากคุณครูช่วยกันให้ความสนใจ แล้วก็เน้นย้ำ อธิบายเพิ่มเติมจากบทเรียนผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมด้วย คงไม่ใช่ให้โทรทัศน์หรือตู้ ครูตู้ อาจารย์ตู้ มาสอน ไม่ใช่ ให้ครูดูตัวอย่างจากในโทรทัศน์ นักเรียนก็ดูไปด้วยแล้วก็เน้นย้ำอธิบายเพิ่มเติมทำความเข้าใจจะได้ช่วยในเรื่องของความเท่าเทียมความทันสมัย แล้วก็ในเรื่องของกรณีที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีครูบางคนเหนื่อย บางคนสอนหลายๆ ชั้น สัปดาห์ที่แล้วตนพูดไปแล้วบางท่านคนเดียวสอนทุกชั้นเลย บางโรงเรียนก็มีนักเรียนมากแล้วมีหลายชั้นแต่ก็มีครูสอน 3 - 4 คน สอนตั้งแต่ อนุบาลถึงประถม 6 แล้วจะได้อะไรเท่าไรอย่างไร ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นนำดาวเทียมมาช่วยด้วยก็จะลดภาระของท่านลงไปได้ ตนไม่ได้ไปดูว่าท่านไม่มีความสามารถในการสอนเพียงแต่ว่าอยากจะช่วยท่านเห็นใจ เพราะท่านเหนื่อยก็ขอขอชื่นชมในความเสียสละ ตั้งใจ ที่อดทนพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด เราจะต้องใช้ความมีจรรยาบรรณของความเป็นครูให้มาก เป็นกำลังใจให้ทุกคน รัฐบาลจะดูแลสวัสดิการข้าราชการครูให้ดีที่สุดระยะต่อไป
ในเรื่องการติดตามการแก้ไขปัญหาของประชาชนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ตนและคณะได้มีโอกาสไปติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้มีโอกาสพบปะพี่น้องประชาชน ข้าราชการในพื้นที่ ก็ได้ชี้แจง พูดคุย ทำความเข้าใจ และก็ได้รับทราบปัญหา ข้อขัดข้องต่างๆ เพื่อจะนำมาปรับปรุงแก้ไข สำหรับศูนย์ดำรงธรรมของจังหวัด อำเภอ ทราบว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ก็เป็นขั้นต้นเท่านั้นเอง ต่อไปปัญหาเหล่านั้นจะนำมาแก้อย่างยั่งยืน อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย น่าจะเป็นช่องทางที่ประชาชนจะได้รับความสะดวกมากขึ้น จากบริการลักษณะ One Stop Service และได้มีโอกาสไปติดตามความก้าวหน้า ในเรื่องของโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองใหญ่ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น และสอบถามถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่บ้านหนองเลิงเปือย ไม่มีโอกาสได้ไป เนื่องจากเวลาจำกัด ก็น่าชื่นชม ประชาชนนั้นมีส่วนร่วม พอใจ ก็ขอตนหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นประตูน้ำ คลองส่งน้ำ ตนก็ได้ติดตามดูว่ามีงบประมาณหรือเปล่า ก็ได้อนุมัติให้ไปแล้ว คงจะก่อสร้างในโอกาสต่อไป อันนี้เป็นสิ่งที่เราทำทันที เมื่อเจอความเดือดร้อนก็ทำทันที ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้ได้ ให้ทันต่อความลำบากเดือดร้อนของประชาชน ทุกโครงการมีความคืบหน้า และดีใจที่แหล่งน้ำ อำเภอกระนวน สามารถจะดูแลพี่น้อง 4 อำเภอ แต่แหล่งน้ำที่ขาดการปรับปรุง ขุดลอกมาประมาณ 20 ปีนั้น คสช.เข้ามา ก็ได้ตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารทรัพยากรน้ำ ได้ประชุม พิจารณาแก้ปัญไขอย่างเป็นระบบ ได้อนุมัติงบประมาณเป็นที่เรียบร้อย กำลังขุดอยู่ กำลังดำเนินการอยู่ ก็จะเพิ่มน้ำได้จาก 1 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็น 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ก็ขึ้นมาอีกตั้งมากมาย พี่น้องชาวกระนวนมีความพึงพอใจ ขอชื่นชมทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทุกส่วนราชการร่วมกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วย
"ในเรื่องของการขุดลอกคูคลอง การบริหารเรื่องน้ำ เราคงต้องทำทุกพื้นที่ ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ ต้องมีการเชื่อมโยงระบบชลประทานกับแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำสาขาต่างๆ เพราะว่าต้นน้ำเรามาจากทางด้านเหนือ น้ำเราได้มาจากน้ำฝนเป็นหลักเท่านั้นเอง ถ้าเชื่อมโยงกันไม่ได้ น้ำก็หายไป ล้นไปในที่ๆ ไม่ต้องการ ก็ไม่ต่อไปข้างล่าง ฉะนั้นเราต้องสร้างกิ่งก้านสาขาของลำน้ำเหล่านี้ให้ได้" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คสช. ครม. สนช. สปช.และคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกัน เพื่อสร้างความเข้าใจ กำหนดทิศทางที่ตรงกัน ในแนวทางที่จะร่วมกันปฏิรูป และสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์อย่างยั่งยืน มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิด เสนอปัญหาข้อขัดข้องอย่างกว้างขวาง ซึ่งทุกท่านล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ ผู้ทรงคุณวุฒิของบ้านเมืองทั้งสิ้น และรับทราบปัญหาของเราดี และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมามากมายพอสมควร อย่างน้อยก็ได้ดูในสิ่งที่เราทำไว้ในชั้นต้น และก็มีข้อมูลปัญหาต่างๆ ส่งเข้ามามากมาย ทุกท่านมีความตั้งใจ และก็เสียสละเข้ามาแก้ไขปัญหา เพื่อจะวางรากฐานสร้างชาติให้มั่นคง
"ผมก็คงต้องขอความร่วมมืออีกครั้งจากทุกพวกทุกฝ่าย ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่สุด ประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิรูปแบบนี้เกิดขึ้น อาจจะมีการปฏิรูปเล็กๆ น้อยๆ มาตลอด วันนี้เราปฏิรูปทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมก็ได้บอกว่าทำอย่างไรเราจะทำให้เกิดการปฏิรูปได้ทันเวลา ฉะนั้นก็ต้องรวบรวมข้อมูล รวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน หาช่องทางให้ได้ คือคงไม่ใช่ช่องทางราชการเพียงอย่างเดียว ทุกคนมีพรรคพวก เพื่อนฝูง พี่น้อง ประชาชนในภูมิลำเนาของตนเอง ก็ไปรวบรวมมา มาช่วยกันและนำเข้าสู่สภาปฏิรูป ถ้าบอกว่าทุกคนอยากมีส่วนร่วม แต่ก็ทำสะเปะสะปะ มันไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะนำมารวมกันได้สักที ท่านไปหาช่องทางให้สั้นที่สุดให้ตรงที่สุดเข้ามา ผมไม่เคยขัดข้องเลย ดีกว่าไปพูดเปล่าๆ ที่โน่นที่นี่ ขัดแย้งกันโดยตลอด ถ้าหากทุกคนเสนอข้อคิดเห็นที่สร้างสรรค์ และเข้าช่องทางที่เร็ว ก็จะปฏิรูปได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า การปฏิรูปนั้นตนก็บอกแล้วว่า ให้แนวทางไปแต่เพียงว่า ทำอย่างไรเราจะกำหนดเรื่องที่จะต้องปฏิรูปทั้ง 11 เรื่อง ให้เป็น 3 ระยะให้ได้ ระยะที่ 1 คือ ทำทันที ทำทันทีก็คือ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ที่ไม่ต้องใช้กฎหมาย ท่านก็ส่งมาให้ตน รัฐบาลก็จะทำ ระยะที่ 2 คือ ทำให้มีผลสัมฤทธิ์ใน 1 ปี ถ้าตกลงได้ ไม่มีข้อขัดแย้ง ให้ คสช.ออกเป็นกฎหมายมา แล้วเราก็ปฏิบัติได้ภายใน 1 ปี จากนั้นถ้ายากๆ เป็นโครงสร้าง เป็นการจัดตั้งหน่วยใหม่ การแก้ไขกฎหมาย หรือกฎหมายที่มีความผูกพันในหลายๆ ส่วน การปฏิรูปแบบนั้น ก็ต้องส่งต่อรัฐบาลหน้า ก็ไปหากลไกมาว่า รัฐบาลหน้าจะทำหรือไม่ทำ ได้อย่างไร นั้นก็คงเป็นภาระของท่านแล้ว ที่จะต้องแก้กันต่อไป เรานำ 100 เรื่อง 100 อย่างมาแก้ 1 ปีไม่ได้ ตนได้ทำความเข้าใจไปแล้ว คิดว่าคงเข้าใจกันดีในขณะนี้ ขอขอบคุณล่วงหน้า คาดหวังทั้งในส่วนของสภาปฏิรูป กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และ สนช.ทั้งหมดต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ในระหว่างนี้ คสช.และรัฐบาลก็จะขับเคลื่อนประเทศไปด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีนั้น องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้เป็น "วันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี" สำหรับประเทศไทยนั้น ได้กำหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็น "เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี" โดยมีการติด "เข็มกลัดริบบิ้นสีขาว" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากล แสดงออกถึงการ "ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว" ตนก็ขอรวมไปถึงผู้สูงอายุและคนพิการด้วย วันนี้เป็นวาระสำคัญของโลกด้วย เรื่องสตรีและเด็ก และก็คนพิการเหล่านี้ ให้ความสำคัญด้วย วันนี้ตนคิดว่าผู้ชายไม่ควรจะไปรังแกผู้หญิงโดยเด็ดขาด เราเป็นผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษ ถูกสอนมาว่าผู้ชายต้องดูแลผู้หญิง เพราะฉะนั้นวันนี้สังคมต้องเข้มแข็ง อย่าดูถูกผู้หญิง อย่าดูถูกเด็ก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ทำให้ถูกมองว่าประเทศเหล่านั้นไม่เคารพกติกาของสังคมโลก ในโอกาสนี้ขอเชิญชวนทุกท่าน ทุกหน่วยงาน และทุกภาคส่วนในสังคมไทยช่วยกันสร้างความตระหนัก ถึงปัญหาอันเกิดจากการใช้ความรุนแรง ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา "เด็กที่เป็นอนาคตของชาติ" และ "ครอบครัวก็คือหน่วยสังคมที่มีความสำคัญที่สุด" วันนี้ที่วุ่นวาย มีเรื่องของยาเสพติด มีเรื่องของการตี การทะเลาะกันอะไรของเด็กเหล่านี้
"ผมคิดว่าครอบครัวมีความสำคัญที่สุดในการที่จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ ครอบครัวไม่มีความอบอุ่น ไม่อบอุ่นเพราะพ่อแม่ต้องหาเงิน รายได้น้อย ลูกก็ขาดความอบอุ่น ก็ไปคบเพื่อน ก็ไปเรื่องยา เรื่องอะไรต่างๆ ไป อันนี้ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องดูแลว่าทำอย่างไร ครอบครัวจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำอย่างไรจะมีรายได้เพียงพอ พ่อแม่มีเวลาว่างบ้าง และครูโรงเรียน สถานศึกษาก็เป็นพ่อแม่คนที่ 2 ด้วย ก็ต้องช่วยกันในการแก้ปัญหาเหล่านี้กับเด็ก ขอให้ทุกคนได้แก้ไขปัญหาด้วยการพูดคุย อย่างทะเลาะเบาะแว้ง อย่าตีกัน ผู้ชายอย่ารังแกผู้หญิง ในภาพรวมของประเทศนั้น รัฐบาล และ คสช.ก็ได้ยึดแนวทางในการสร้างความปรองดอง ในทางการพูดคุย ความเข้าใจอย่างสร้างสรรค์ กฎหมายคือกฎหมาย คนละเรื่องอย่านำมาปนกัน ทุกครั้งตนต้องพูดแบบนี้ เพราะผมพูดคำว่าปรองดองทีไรมีปัญหาทุกที ผมไม่ได้ปรองดองใครกับใคร ผมปรองดองคนในชาติ ถ้ามีพวกมีฝ่ายก็ไปหาทางเรื่องกฎหมายกันเอง" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ผู้ที่พบเห็นการกระทำความรุนแรง การละเมิด การทารุณ ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ สามารถแจ้งเหตุได้ที่ OSCC "One Stop Crisis Center" หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
ในช่วงสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนขอเรียนกับทุกท่านว่า อีกประมาณ 2 สัปดาห์ จะถึงวันมหามงคล "วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช" ขอให้ทุกส่วนทั้ง ราชการ เอกชน และประชาชนทั่วไป ได้ร่วมจิต ร่วมใจ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีของประเทศชาติ ร่วมกันเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน รวมทั้งร่วมใจถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง เพื่อเป็นมิ่งขวัญของประชาชนในทุกหมู่เหล่า วันนี้ก็คงมีเพียงเท่านี้ อีกเรื่องหนึ่งวันก่อนทุกคนก็เป็นห่วง มีนักศึกษาอะไรต่างๆ มา ผมก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ไม่เป็นไร ก็อยากอธิบายน้องๆ เด็กๆ ให้ทราบ ครู อาจารย์ด้วยว่า วันนี้เราต้องช่วยกันเดินหน้าประเทศ เราไม่ได้มุ่งหวังเพื่อจะมาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษา เด็ก ก็ขอร้องแล้วกัน เราก็สั่งไปแล้ว ไม่มีการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง ท่านก็เบาๆ ลงบ้างก็แล้วกัน ฉะนั้นทุกวันเวลานี้ เราต้องการความสงบและสันติ จะได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาของชาติได้ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เรื่องเศรษฐกิจนั้น ก็ลองติดตามดูหลายๆ อย่างมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น วันนี้ได้รับรายงานว่าในเรื่องของการลงทุนต่างๆ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลายประเทศให้ความสนใจ เราลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเข้าไปอีก และก็ดูแลในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ เรื่องการจ้างงาน ทุกอย่างก็น่าจะไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้ทุกคนอย่าทุจริตก็แล้วกัน และร่วมมือกัน อย่าขัดแย้งกัน อย่าขัดขวางการทำงานของเรา ถ้าไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความต้องการก็บอกมา บอกมาเลย สิ่งนี้ขอด่วนถึงนายกรัฐมนตรี ขอด่วนมา รับจะแก้ให้ทันที ก็ช่วยกันช่วยชาติ ขอให้ทุกคนมีความสุข เดี๋ยวก็วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ดูละครให้สนุก สวัสดีครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี