คณะอนุกมธ.พิจารณากรอบรธน. ชงให้อำนาจสปช.สร้างสันติภาพ
วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557, 18.57 น.
Tag :
24 พ.ย. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่10 ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง หมวด 2 การสร้างความปรองดอง ในคณะกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ สปช.ด้านการเมือง เป็นประธาน ได้มีการทบทวนข้อสรุปแนวทางการปฏิรูปของอนุกมธ.ซึ่งเหลือระยะเวลาอีก 1 สัปดาห์ โดยคณะอนุ กมธ.อาทิ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สปช.ด้านอื่นๆ และนายบุญเลิศ คชายุทธเดช สปช.ด้านสื่อสารมวลชน ได้ทำการอภิปรายเสนอแนะอย่างกว้างขวาง
พล.อ.เอกชัย กล่าวว่า แนวทางการสร้างสันติภาพและความสมานฉันท์ ควรอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือรัฐสภา ไม่ควรอยู่ภายใต้ของฝ่ายบริหารซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นคู่ขัดแย้ง ขณะเดียวกันควรวางกรอบแนวทาง 3 มิติ คือ วางมาตรการแจ้งเตือนไกล่เกลี่ยและแก้ไข โดยให้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง การป้องกันและให้ความรู้เพื่อไม่ให้สถานการณ์ยิ่งบานปลาย และการเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์โดยการสร้างบรรยากาศปรองดอง ซึ่งปัจจุบันบรรยากาศปรองดองฟื้นกลับมายาก จึงต้องมีวิธีจัดการ จะมาใช้วิธีแบบปัจจุบันไม่ได้ คลื่นลมยังไม่สงบ ควรให้มีการตั้งวอร์รูมติดตามตลอดเวลา โดยมีหน่วยงานคอยดูแล และควรทำ 3 มิติดังกล่าวให้เข้มแข็งเป็นหลัก
ด้าน นายบุญเลิศ กล่าวว่า น่าจะมีการวางกลยุทธ์รับฟังเสียงสะท้อนของพรรคการเมือง กลุ่มเคลื่อนไหว แนวร่วมประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการระบายความรู้สึก แล้วจะได้นำแนวทางดังกล่าวไปสู่การแก้ไข และทำให้เห็นแนวทางไปสู่การปฏิรูปสร้างความปรองดองได้ง่ายขึ้น ตลอดจนการสร้างแนวทางไปสู่ความปรองดอง คือ ให้อภัยกันทุกฝ่าย โดยอาจจะมีการร่างกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมา แต่ไม่ควรเป็นแบบเหมาเข่งที่ทำให้สะดุดลงกลางคัน ต่อมา ถึงเวลาแล้วที่ควรให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองและพรรคการเมืองหันหน้าคุยกันแบบไม่มีข้ออ้างใดๆ และดำเนินตามแนวทางของอนุ กมธ.ที่เสนอให้มีการตั้งคณะกมธ.เสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ เพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์
ขณะที่ นายเอนก กล่าวว่า น่าจะมีข้อเสนอแนวทางนิรโทษกรรม โดยอาจให้เริ่มมีผลตั้งแต่ปี 2548 – 2557 และอาจครอบคลุมแกนนำในการเคลื่อนไหวและทหาร แต่อาจจะยกเว้นกรณีที่ทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิต คดีละเมิดทรัพย์สิน และคดีหมิ่นสถาบันฯ เพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์ที่แท้จริง