1ธค.เปิดฟังความเห็นรธน.
สปช.คิ๊กออฟ
1,350เวที77จังหวัดทั่วปท.
อลงกรณ์ไขก๊อกพ้นปชป.
แจงต้องเป็นกลาง-อิสระ
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดย นายประชา เตรัตน์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธาน กมธ. แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบตั้งคณะอนุกมธ.ประจำจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีโครงสร้างให้ สปช. ประจำแต่ละจังหวัดเป็นประธาน และมีเครือข่ายภาคประชาชนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นคณะทำงาน
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบกรอบการทำงานที่สำคัญ คือ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนซึ่งจะทำใน 2 รูปแบบ คือ 1.เวทีระดับจังหวัดในหัวข้อ “ร่วมสร้างอนาคตประเทศไทย” และ 2.เวทีตามประเด็นปฏิรูปของ กมธ.ปฏิรูปทั้ง 18 ด้าน โดยมีเป้าหมายการจัดเวทีทั้งหมด 1,350 เวที คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 70,000 คน รวมทั้งมีแผนงานว่าด้วยการสร้างเครือข่ายสื่อสารสาธารณะ เพื่อการรับรู้และความเข้าใจของสังคมวงกว้าง มีวิธีการทำงาน คือ 1.จัดให้มีรายการประจำทางฟรีทีวีและทีวีผ่านระบบดาวเทียม 5 ช่อง และวิทยุ 10 สถานีเพื่อสื่อสารเจตนารมย์ เนื้อหา และความคืบหน้าในการปฏิรูปของสปช. ตลอดการทำงาน 12 เดือน 2.ทำระบบเครือข่ายสังคมทางโซเชียลมีเดีย อาทิ Facebook Twitter เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มประชาชนยุคดิจิตอล โดยมีกรอบงบประมาณไม่เกิน 80 ล้านบาท และทั้งหมดจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป
ด้าน นายบุญเลิศ คชายุทธเดช สปช. ในฐานะโฆษก กมธ. ปฏิรูปสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยว่า จากการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีความเห็นเบื้องต้นร่วมกัน คือ วิชาชีพสื่อสารมวลชนการมีเสรีภาพเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการปกครองระบอบประชาธิปไตย การวางบทบัญญัติรัฐธรรมนูญต้องรับรองเสรีภาพสื่อ หลักการความรับผิดชอบต้องใช้เสรีภาพในกรอบที่จะไม่สร้างปัญหา เกิดผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลและสังคมส่วนรวมในด้านต่างๆ ความรับผิดชอบต่อกฎหมายและจริยธรรม ซึ่งกมธ.เห็นร่วมกันว่า ที่ผ่านมาเป็นการดูแลกันเองแบบสมัครใจผ่านสภาวิชาชีพ แต่มีเสียงสะท้อนว่า การคุมกันเองทางจริยธรรมผ่านสภาวิชาชีพไม่มีประสิทธิภาพในการให้ความคุ้มครองสังคม จึงมีข้อเสนอให้การกำกับควบคุมกันเองของสื่อทุกแขนง น่าจะรวมอยู่ในองค์กรสภาวิชาชีพร่วมกัน และสื่อวิทยุและโทรทัศน์ถูกองค์กรที่เกิดตามกฎหมายให้ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นและการประกอบกิจการ คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงต้องศึกษาว่า จะมีการปรับเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพหรือไม่ ทั้งนี้ยังยอมรับให้มีองค์กรนี้ทำหน้าที่ต่อไป แต่ต้องมีการปรับปรุง นอกจากนี้ เรื่องของมาตรฐานวิชาชีพก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีการส่งเสริม เนื่องจากมีบทบาทสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ
ส่วนประกาศคสช.และกฎอัยการศึกที่เข้าข่ายแทรกแซงสื่อสารมวลชนนั้น กรรมาธิการฯไม่ได้พิจารณา ให้เป็นเรื่องของผู้บริหารพิจารณาเพราะกรรมาธิการฯมุ่งเรื่องปฏิรูปสื่อในภาพของรัฐธรรมนูญไม่เกี่ยวกับการบริหารงานปัจจุบัน
ด้าน นางเตือนใจ สินธุวณิก คณะกรรมาธิการสื่อสารมวลชนฯแถลงถึงยุทธศาสตร์ในการทำงานว่า จะยึดเสียงประชาชนเป็นหลัก โดยจะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 มาพิจารณาประกอบเพื่อปฏิรูปสื่อ ซึ่งจะนำกฎหมายที่มีอยู่เดิมมาดูแลไม่ให้มีการแทรกแซงสื่อในทุกรูปแบบ ทั้งจากผู้มีอำนาจและเจ้าของกิจการต้องส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อของประชาชน ปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ของสื่อสมัยใหม่ โดยจะสรุปความเห็นเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป และจะมีการเชิญผู้บริหารและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้เห็นว่าจำเป็นต้องคงหลักการไม่ให้นักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อและต้องมีกฎหมายลูกที่มีผลบังคับใช้ให้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
วันเดียวกัน นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการ กมธ.วิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ แถลงว่า ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อคงภาพลักษณ์ของ สปช. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลาง อิสระ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และการลาออกครั้งนี้ไม่มีนัยยะการเมืองใด
“วันที่ตัดสินใจสมัครเป็นสปช.ก็คิดละทิ้งอนาคตทางการเมือง เนื่องจากประเทศเผชิญวิกฤติ การปฏิรูปเป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศก้าวสู่ยุคใหม่ซึ่งต้องทำให้สำเร็จ เมื่อเข้ามาทำหน้าที่สำคัญแทน สปช.จึงเห็นว่าไม่ควรให้การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นอุปสรรคต่อความน่าเชื่อถือของสปช.”
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า ในอนาคตจะเลิกเล่นการเมืองหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การลาออกครั้งนี้ไม่มีแรงกดดันใดๆ จากพรรค ไม่เคยคิดจะไปอยู่พรรคการเมืองอื่น เพราะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มานาน ซึ่งยังไม่รู้ว่าการปฏิรูปจะสำเร็จหรือไม่ อาจจะหยุดการเมืองเพราะมีคนรุ่นใหม่มาทดแทนอยู่แล้วไม่ต้องติดยึดกับตน ทั้งหมดต้องตัดสินใจภายใต้กติกาใหม่ด้วยว่าจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากนี้ออกจากจุดนี้แล้วจะออกไปปลูกต้นไม้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี