‘นิคม-สมศักดิ์’แจงเอง
สู้คดี‘ถอดถอน’27พย.
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่หนึ่ง ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาสำนวนถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาและนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.โดยมิชอบด้วยกฎหมายในการประชุมสนช.วันที่ 27 พฤศจิกายนว่า จะแยกพิจารณาเป็น 2 สำนวน เริ่มจากกรณีนายนิคม ผู้ถูกกล่าวหา ยื่นพยานเพิ่มเติม โดยจะให้ผู้ถูกกล่าวหาแถลงเหตุผลที่ขอระบุพยานเพิ่ม ซึ่งเท่าที่ทราบนายนิคมจะเดินทางมาชี้แจงด้วยตนเอง จากนั้นให้ป.ป.ช.แถลงว่าจะคัดค้านหรือไม่ ก่อนที่สมาชิกจะตัดสินใจลงมติเป็นรายประเด็นว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 ที่กำหนดว่าต้องเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ป.ป.ช.ไม่ทราบว่ามีอยู่ หรือทราบว่ามี แต่ป.ป.ช.ไม่อนุญาต หากเข้าตามหลักเกณฑ์ก็ต้องอนุญาตให้เพิ่มเติมพยานหลักฐาน หลังจากนั้นจะกำหนดวันแถลงเปิดสำนวนคดี ซึ่งน่าจะกำหนดวันที่ 8-9 มกราคม 2558 ในส่วนของนายนิคมและนายสมศักดิ์
สำหรับเหตุผลที่กำหนดการแถลงเปิดสำนวนคดีของนายนิคมและนายสมศักดิ์ไปเป็นในเดือนมกราคมนั้น นายสุรชัยกล่าวว่า เพราะสนช.ต้องการผลักดันกฎหมายสำคัญให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม เช่น กฎหมายภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ ดังนั้น เรื่องการถอดถอนจึงเห็นว่าควรเริ่มหลังปีใหม่ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันแถลงเปิดคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกรณีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว ซึ่งต้องหารือเป็นการภายใน หลังพิจารณาสำนวนถอดถอนนายนิคมกับนายสมศักดิ์วันพรุ่งนี้ (27 พฤศจิกายน)
ผู้สื่อข่าวรายงานขั้นตอนการพิจารณาสำนวนของนายนิคมและนายสมศักดิ์ว่า หลังแถลงเปิดสำนวนคดีแล้วจะมีการตั้งกรรมาธิการฯทำหน้าที่รวบรวมประเด็นข้อซักถามจาก สนช. เพื่อจัดกลุ่มคำถามในการถามแทนสมาชิก จากนั้นจะนัดแถลงปิดคดีให้สองฝ่ายสรุปให้ที่ประชุมฟังก่อนที่จะนัดลงมติ โดยจะใช้เวลาหลังจากนั้นไม่เกิน 25 วันเพราะกรอบเวลาต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่กำหนดว่าหลังแถลงเปิดคดีแต่ละนัดจะห่างไม่เกิน 7 วัน ยกเว้นการลงมติที่บังคับว่าต้องนัดภายใน 3 วัน นับจากวันที่แถลงปิดคดีเสร็จ ซึ่งจะทำให้กระบวนการทั้งหมดแล้วเสร็จไม่เกินปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2558
วันเดียวกัน มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า สัปดาห์หน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตอีกคณะหนึ่ง หลังกลับจากการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและเวียดนาม โดยคณะกรรมการดังกล่าวมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน ขณะที่คณะกรรมการฯประกอบด้วย ตัวแทนจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆกับการตั้ง “ซุปเปอร์บอร์ด” มีหน้าที่เร่งรัด กระชับการทำงาน ตรวจสอบโครงการต่างๆให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว สามารถมีอำนาจตัดสินใจการทำงานได้อย่างรวดเร็วและให้ทุกอย่างจบลงในที่ประชุม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี