'มาร์ค'เข้าให้ข้อคิดเห็นต่อกมธ.ฯ ย้ำเจอคนต้านถ้าไม่ทำประชามติ
วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557, 12.01 น.
Tag :
27 พ.ย. 57 ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนก่อนเข้าพบคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเสนอแนะแนวทางในการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า ตนอยากจะบอกว่า คณะกรรมาธิการยกร่างเชิญตนมาให้ความเห็นในนามส่วนตัว เพราะฉะนั้นความเห็นทั้งหมดจะไม่ไปผูกพันกับพรรค เพราะพรรคเองไม่สามารถจัดการประชุมได้ สิ่งที่อยากมานำเสนอในวันนี้อาจจะแตกต่างจากหลายคนที่เคยพูดกันไปบ้างแล้ว ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะไปพูดถึงเรื่องระบบการเลือกตั้ง และในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องนักการเมืองและพรรคการเมือง แต่สิ่งตนตั้งใจจะมาพูดคืออยากได้รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การปฏิรูป เป็นการปฏิรูปที่มีความยั่งยืน โดยในวันนี้ ตนจะเสนอ 3 เรื่องใหญ่ คือ ทำอย่างไรให้รัฐธรรมนูญความยั่งยืน โดยจะต้องเริ่มต้นจากการจะต้องมีกระบวนการมีประชามติ ต่อมา รัฐธรรมนูญไทยไม่ควรจะถอยหลัง ประชาธิปไตยแม้ว่าที่พัฒนามาจะมีปัญหาอย่างไร ก็มีความก้าวหน้ามามาก เพราะฉะนั้นไม่ควรไปลดทอนสิทธิเสรีภาพ หรือการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งต้องรวมถึงการที่ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้บริหารประเทศ และการกำหนดทิศทางของประเทศ และรัฐธรรมนูญต้องแก้ปัญหา ที่เป็นปัญหาหลักของระบบการเมืองที่ผ่านมา คือเรื่องของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาการใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายการเมือง เป้าหมายคือต้องไปเพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลและบทบาทของภาคประชาชน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนแนวความคิดที่ว่าจะเลือกตั้งกันอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด อยู่ที่ว่าเมื่อเลือกตั้งเข้าไปแล้วเข้าไปใช้อำนาจทุจริตมิชอบ ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนเสียประโยชน์ เราจะแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยสิ่งเหล่านี้จะต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและอีกหลายส่วนต้องไปอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เพราะในอดีตบางบทบัญญัติที่อยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเขียนไว้ดีแต่ปฏิบัติไม่ได้ต้องแก้ไขอย่างไร ส่วนระบบการตรวจสอบซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่เป็นที่มาของวิกฤติการเมือง ซึ่งตนเห็นว่าในระบบรัฐสภาต้องมีเสียงข้างมากไม่เช่นนั้นทำงานไม่ได้ ปมปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้พรรคการเมืองหรือการทำงานในสภาอ่อนแอ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีเสียงข้างมาก สถาบันการเมืองต้องเข้มแข็ง แต่เมื่อพรรคการเมือง นักการเมืองมีอำนาจแล้วจะต้องยอมถูกตรวจสอบและรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และการตรวจสอบการถ่วงกุลต้องทันต่อเหตุการณ์ ไม่ใช่เกิดเรื่องขึ้นแล้วแต่ใช้เวลาเป็นปีในการตรวจสอบ ความตรึงเครียดความไม่พอใจการต่อต้านก็สะสมมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการได้มาของส.ว.นั้น มองว่าไม่ควรถอยหลังแต่วิธีการได้มาของส.ว.อย่าให้เหมือนกับฐานการเลือกส.ส.เพราะเป็นคนละวัตถุประสงค์กันและต้องพยายามหาวิธีการไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับนักการเมือง ส่วนที่นายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ระบุว่าจะนำหลักสถิติมาถามความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปนั้น ตนเห็นว่าถ้าใช้หลักสถิติเพื่อก็เป็นเรื่องที่ดี ดีกว่ารับฟังความคิดเห็นโดยไม่มีหลักวิชาการอ้างอิง แต่ต้องเข้าใจว่าการออกกแบบระบบการเมืองหรือประเทศจะเอาเพียงแค่ความเห็นเป็นประเด็นมารวมกันไม่ได้ ระบบต้องสอดคล้องกัน จึงคิดว่าเป็นหลักหนึ่งที่ใช้นำมาประกอบเท่านั้น อะไรที่เป็นข้อมูลถูกต้องเที่ยงธรรมก็นำมาเป็นประโยชน์ได้ แต่ไม่ได้ความว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องทำตามที่ไปสำรวจมาเพราะการไปสำรวจมาเมื่อนำมาประกอบแล้วอาจไม่สอดคล้องกัน
"ยืนยันว่าการทำประชามติเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีการทำประชามติข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเกิดขึ้น ประเทศไทยก็จะต้องมาเสียเวลากับคนกลุ่มที่ไม่พอใจรัฐธรรมนูญว่าจะรื้อหรือทำกันใหม่หรือไม่ สุดท้ายก็ไม่เดินไปสักที เราหวังว่าเมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดนี้ เราอยากได้กติกาที่ดี ใช้ได้ ประชาชนยอมรับ พอพ้นระยะที่สาม ประเทศจะได้เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจ ไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องการเมืองและรัฐธรรมนูญอีก แต่ถ้าไม่ทำประชามติ จะร่างรัฐธรรมนูญดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ต้องมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจ สิ่งแรกที่เขาจะหยิบขึ้นมาคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประชาชนให้การยอมรับหรือไม่ ฉะนั้นการทำประชามติเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ผมมีข้อเสนอว่า การทำประชามติต้องมีทางเลือกให้กับประชาชนที่ชัดเจน ไม่ใช่เลือกว่ารับหรือไม่รับ แล้วจะได้อะไรเมื่อไหร่ จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบเพราะไม่อยากให้เสียเวลาอีก"หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
เมื่อถามว่า ช่วงการแสดงความคิดเห็นควรมีการผ่อนปรนกฎอัยการศึกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่ากฎอัยการศึกเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ดังนั้น ผู้มีอำนาจจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการรักษาความสงบเรียบร้อยกับการเสียโอกาสในการรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายหรือเปิดเผยมากขึ้น ซึ่งจะบอกว่ากฎอัยการศึกนั้นไม่มีผลกระทบใดเลยคงไม่จริง โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นทางผู้มีอำนาจต้องพิจารณาว่าคุ้มค่ากับการที่มีเครื่องมือนี้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือไม่ เพราะหน่วยงานความมั่นคงมีข้อมูลอยู่แล้ว ตนเห็นด้วยที่จะให้ผ่อนปรนกฎอัยการศึก ตนไม่เชื่อว่าเมื่อไม่มีกฎอัยการศึกแล้วจะมีปัญหาเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ถ้าเกิดปัญหาตรงจุดใดก็อาจประกาศเฉพาะพื้นที่ได้ และคิดว่าหากบรรยากาศยังเป็นข้อโต้แย้งไปเรื่อยๆก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานปฏิรูป