ขอใช้สิทธิ์ในการยื่นเพิ่มเติมพยานวัตถุ เพื่อให้ที่ประชุม สนช. ได้พิจารณา เพราะปรากฏในสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. เป็นแผ่นซีดีวีดิทัศน์จำนวน 9 แผ่น ความยาว 120 ชั่วโมง โดยในชั้นการพิจารณาของ ป.ป.ช. ที่มีมติออกมานั้น ไม่ปรากฏว่า ได้นำเอาแผ่นซีดีดังกล่าวที่บันทึกเหตุการณ์การประชุมวาระที่ 2 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาวินิจฉัย แต่กลับลงมติ ซึ่งเหตุที่กล่าวเช่นนี้ อาจเป็นเพราะ ป.ป.ช. รีบร้อน หรือข้อกล่าวหา เอกสาร-หลักฐานนั้นยาวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมไปชี้แจงด้วยตัวเอง องค์ประกอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขณะนั้น เรียนว่า ป.ป.ช. 8-9 คนนั้น มีคนเดียวที่นั่งฟังแต่ต้นจนจบคือประธาน ป.ป.ช.
หลายประเด็นคำถามที่ผมได้ชี้แจงไป แต่มีสมาชิก สนช. ลุกขึ้นมาอภิปรายกล่าวแต่ฝ่ายเดียว โดยบางท่านยังไม่เคยได้มาดูแผ่นซีดีบันทึกการประชุมนั้นเลย ซึ่งผมได้ย่อยจาก 120 ชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง หากได้ฟังด้วยใจเป็นธรรม จะไม่กล่าวหาเช่นนั้น โดยเฉพาะบางท่านที่อภิปรายเหมือนกับรู้ว่าเป็นหนึ่งในที่ประชุมวันนั้น กำลังกล่าวหาหรือก้าวล่วง ซึ่งผิดข้อบังคับการประชุม สนช. และผิดมารยาทการประชุมของผู้ทรงเกียรติ
ในแผ่นซีดีความยาว 4 ชั่วโมงนี้ ประกอบด้วย เนื้อหาตั้งแต่การเริ่มต้นพิจารณาวาระที่ 2 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้มีการลงมติว่า ผมนั้นกระทำความผิดจากการลงชื่อของ 52 ส.ว. ใน 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกที่ผมไปลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่สองผมไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กล่าววาจาสนับสนุน ส.ว. จากการเลือกตั้ง ทั้งที่เจตนาต้องการอยู่เฉย ๆ ก็หาว่าให้ร้าย ส.ว.สรรหา และเรื่องที่สาม รับญัตติปิดการอภิปราย
แต่ก็ดีที่ ป.ป.ช. ได้อ่านตรงนี้ ตัดประเด็นของการที่ผมไปลงชื่อแก้ไข ซึ่งจริงๆ ผมไม่ได้ลงในญัตติแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190 กับมาตรา 237 และยังยกฟ้องเรื่องที่ไปแถลงข่าวในหนังสือพิมพ์ เพราะความจริงแล้วหากทำผิดจรรยาบรรณต้องร้องต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) และนำเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อตั้ง กมธ.หาข้อเท็จจริง ก่อนส่งให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือ ป.ป.ช. แต่ด้วยความรีบร้อน กลับร้องเรียนมายัง ป.ป.ช. เลย ซึ่งผมถามนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ (ประธาน ป.ป.ช.) เหตุการณ์แบบนี้ต้องร้องเรียนที่ไหน ท่านก็บอกผมว่าต้องร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินก่อนส่งให้ ป.ป.ช.
“ผมเป็นคนสอนหนังสือ ออกไปต่างจังหวัดก็เพื่อเผยแพร่ประชาธิปไตย ดีที่ ป.ป.ช.อ่านตรงนี้แล้วยกคำฟ้อง ขอบคุณที่ยกคำฟ้องทั้ง 2 เรื่อง”
แต่ ป.ป.ช.ไม่ยกคำฟ้องในเรื่องที่ 3 ที่ผมสนองรับญัตติของที่ประชุม ท่านประธาน (นายพรเพชร วิชิตชลชัย) มีผู้ประท้วง ผมมีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องทำตามข้อบังคับการประชุมว่าด้วยการประชุมร่วมรัฐสภา พ.ศ.2553 มีทั้งหมด 117 ข้อ ผมจำได้หมด ดังนั้นจะพิจารณากฎหมายต้องดำเนินการโดยเฉพาะวาระที่ 2 ตามมาตรา 99 ถ้าอ่าน ดู และฟัง จะรู้และเข้าใจอย่างละเอียดว่า คนทำหน้าที่ประธานไม่มีสิทธิทำอย่างอื่น ต้องทำตามข้อบังคับ หลักนิติธรรมไม่อาจใหญ่กว่าหลักกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ นี่เป็นหัวใจสำคัญ
ดังนั้นผมจำเป็นเหลือเกินที่ต้องเอาหลักฐานนี้มาย่อยให้ท่านทราบ ยาวตั้ง 120 ชั่วโมง แค่ดูก็เครียดแล้ว ผมยังไม่คิดเลยว่าตัวเองรอดมาได้อย่างไร วันนั้นถ้ามีประธาน 3-5 คน ต้องถูกฟ้องอย่างผมหมดทุกคน เพราะไปรับญัตติให้มีการปิดประชุม เพราะมีการโต้แย้งกัน แล้วจะให้ทำอย่างไร ซีดี 4 ชั่วโมงแผ่นนี้ ช่วยให้ได้อ่าน ได้ดู และจะเข้าใจ
ทั้งนี้ในช่วงที่ผมชี้แจงเรื่องการบรรจุระเบียบวาระการประชุม มีคนคัดค้าน ร้องบอกไม่ให้ทำหน้าที่ เกรงว่าจะไม่วางตัวเป็นกลาง เรียกร้องเหลือเกินว่าผมต้องหยุด ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่ได้ลงนามแก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว. ผมไม่ได้อภิปราย ไม่ได้แปรญัตติ ผมดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมข้อที่ 5 ผมทำแค่นั้น แต่ญัตติเป็นอย่างไร เป็นหน้าที่ของท่านสมาชิกเขา และคนเหล่านี้ที่อภิปราย เข้าชื่อร้องผม หาว่าผมไม่วางตัวเป็นกลาง ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ลงชื่อ ไม่ได้ลงมติ ไม่ได้อภิปราย และไม่ได้ใส่ญัตติอะไร ผมก็เอาความเห็นท่านเวลานั้น เอามาสู่เวลานี้
ผมร้องคัดค้านท่าน เพราะหลักกฎหมายสากล หลักนิติธรรม ถึงแม้ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติ แต่ผมจำเป็นต้องร้องค้าน เพื่อจำขอร้อง อำนวยความเป็นธรรมให้ผม วันที่ผมทำหน้าที่ประธาน ยังบอกผมไม่เป็นกลาง เรียกร้องให้ลงจากหน้าที่ ไม่ต้องทำหน้าที่ แต่ไม่เป็นไร ผมทำเพื่อเตือนสติ 16 คน (อดีต ส.ว. ที่ลงชื่อถอดถอน ปัจจุบันเป็น สนช.) ว่าเวลานั้น ท่านกำลังทำอะไรอยู่
“ถ้าดูเทป ถ้ามีจิตสำนึกความเป็นคนอยู่ จะไม่กล่าวหาผมเช่นนั้น อย่าใส่ร้าย อย่าก้าวร้าว ใส่ร้ายคนทำหน้าที่ตามข้อบังคับการประชุม”
อยากให้ท่านลองอ่านดูในเทป 9 แผ่นที่อยู่ในสำนวน ป.ป.ช. เมื่อไม่นำมาพิจารณา ก็ขออาศัยสิทธิ์ตามข้อบังคับการประชุม สนช. ข้อที่ 155 จะรับหรือไม่ เพราะผมถูกกล่าวหาข้อเดียวคือรับญัตติปิดประชุม ซึ่งร้ายแรงมาก ที่ไม่สามารถชี้แจงที่ไหน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี