27 พ.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.05 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าพบหารือกับ นายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ที่สำนักนายกรัฐมนตรีเวียดนาม
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวแสดงความยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย - เวียดนาม มีความใกล้ชิด และพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภายหลังการประกาศความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เมื่อเดือน มิ.ย.56 ทั้งนี้ ในปี 2559 ไทยและเวียดนามจะครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตด้านการค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้ามูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ.2020 ทั้งสองฝ่าย พร้อมเดินหน้าหาช่องทางในการขยายการค้าระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์เพื่ออำนวยความสะดวก และผลักดันให้มีการส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกัน ได้แก่ ข้าวและยางพารา ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมด้านการลงทุน
ทั้งนี้ นายกฯ ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลเวียดนาม ที่ดูแลนักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามมาโดยตลอด และขอเสนอให้หน่วยงานส่งเสริมการลงทุนสองฝ่ายพิจารณา จัดตั้งกลไกหรือคณะทำงานส่งเสริมและคุ้มครองด้านการลงทุนระหว่างกัน เพื่อใช้ความตกลงด้านการลงทุนที่มีอยู่ เช่น ความตกลงคุ้มครองการลงทุน และอนุสัญญายกเว้นการเก็บภาษีซ้อนให้ได้ประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมให้ธนาคารไทยมาเปิดสาขาในเวียดนามมากขึ้น
ในโอกาสนี้ นายกฯ ยังยินดีที่ทราบว่า รัฐบาลเวียดนาม อนุมัติให้บริษัท ปตท ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานปิโตรเคมี ในเขตเศรษฐกิจเญินโห่ย จ.บิ่งห์ดิ่งห์ รวมทั้งบริษัท EGAT I ของไทยเข้ามาลงทุนโรงงานผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานทั้งในไทย เวียดนาม และภูมิภาค ด้านการเชื่อมโยง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่จะช่วยทำให้การรวมกลุ่มของอนุภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ โดยให้ความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากเส้นทาง R8 R9 และ R12 เชื่อมต่อไทย ลาว และเวียดนาม โดยฝ่ายไทยขอเสนอให้เปิดบริการรถโดยสาร ในเส้นทางระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับภาคกลางของเวียดนาม ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระตุ้นการค้าและการลงทุนแล้ว ยังจะเพิ่มการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคโดยรวมด้วย
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนให้สายการบินต้นทุนต่ำ เปิดเส้นทางการบินใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของสายการบินเอง และช่วยสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน และนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ รวมทั้งให้มีการพัฒนาการเดินเรือตามแนวชายฝั่งทะเล เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของการท่องเที่ยวระหว่างกัน สำหรับสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ในฐานะผู้ประสานงานอาเซียน - จีน ไทยมุ่งส่งเสริมให้การเจรจาจัดทำ COC มีความคืบหน้า และส่งเสริมให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันเพื่อความสงบในพื้นที่และในภูมิภาค โดยโอกาสนี้ นายกฯ ได้เชิญนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเป็นประธานร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ที่ฝ่ายไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือน ม.ค.58
ซึ่งจะเป็นโอกาสให้คณะรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารือความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนในด้านต่างๆ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้ตอบรับคำเชิญของนายกฯ ที่จะเข้าร่วมการประชุม GMS ที่จัดขึ้นในไทย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ในต้นปีหน้า
สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เวียดนามพร้อมที่จะส่งเสริมความเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ตะวันออก - ตะวันตก และเหนือ - ใต้ รวมทั้งความร่วมมือในมิติอื่นๆ ทั้ง การศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ยังได้กล่าวว่า พร้อมจะสนับสนุนไทยในทุกเวที ทั้งระดับประเทศ ภูมิภาค และภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ไทย - เวียดนาม ที่มีความเข้มแข็งในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอย่างสร้างสรรคแก่อาเซียน และภูมิภาคโดยรวม
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแผนปฏิบัติการและบันทึกความเข้าใจ 3 ฉบับ คือ 1.แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย - เวียดนาม 2.แผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนว่าวัฒนธรรมไทย - เวียดนาม และ 3.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทรากับนครเกิ่นเทอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี