อนุกมธ.ชงผ่าตัดกกต.
ริบ”ใบแดง”
เพิ่มเป็น7เสือ-ยุบระดับจว.
ดันตั้งสภาลูกขุนภาคปชช.
ปปช.ฟ้องเองไม่ผ่านอัยการ
ดันเข้ากมธ.ยกร่างฯจันทร์นี้
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 8 ภาค 3 นิติธรรม ศาลและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐหมวด 2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ องค์กรอิสระ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญและองค์กรตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ กล่าวว่า จากผลการหารือของคณะอนุกมธ. ได้เสนอให้มีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้มีหลักของความเปิดเผย โปร่งใส เที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้
โดยเห็นควรปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจขององค์กรคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้มีอำนาจเพียงการสั่งให้เลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) เท่านั้น โดยขยายเวลาให้จัดการเลือกตั้งใหม่จากเดิม 30 วัน เป็น 60 วัน และกำหนดให้ กกต. สามารถประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส. ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถดำเนินการเปิดประชุมสภาได้ ไม่ต้องรอจนครบ 95 เปอร์เซ็นต์ เหมือนเดิม ส่วนที่ยังไม่ประกาศผลก็ให้ส่งเรื่องให้ศาลอาญาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินว่า จะต้องตัดสินผู้สมัคร (ใบแดง) รายใดหรือไม่
“หลักการคือจะไม่ใช่ต้องรีบรับรองไปก่อน แล้วไปสอยทีหลังเหมือนอดีต แต่ถ้าศาลประทับรับฟ้อง ก็ต้องรอจนกว่าคดีจะยุติ ซึ่งอาจจะระบุให้ศาลต้องตัดสินใน 60 วัน ถึงจะให้เข้าไปทำหน้าที่ ส.ส. ได้”นายไพบูลย์ กล่าว
เพิ่มเป็น7เสือ-ยุบกกต.จังหวัด
นอกจากนี้ยังเห็นควรเพิ่มจำนวน กกต. จาก 5 คนเ ป็น 7 คน โดยกรรมการสรรหาต้องมีคุณวุฒิและที่มาอย่างหลากหลาย ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วน กกต. จังหวัดๆ ละ 5 คน ต้องยุบเลิก แต่สำนักงานและเจ้าหน้าที่ กกต. จังหวัดยังคงอยู่ โดยให้ไปเป็นฝ่ายธุรการรองรับสภาตรวจสอบภาคประชาชน ที่จะตั้งมาเพื่อดำเนินการกับกรณีการทุจริตเลือกตั้ง การปฏิบัติหน้าที่ของภาครัฐ และทุจริตการใช้จ่ายงบประมาณในจังหวัด ซึ่งมีอำนาจฟ้องตรงต่อศาลเลือกตั้ง ศาลปกครอง ศาลยุติธรรมหรือศาลอื่นๆ แล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องผ่าน กกต. ใหญ่ แต่ไม่ตัดอำนาจ กกต. ใหญ่หากเห็นว่ามีมูลทุจริตเลือกตั้งจะยื่นฟ้องศาลเอง
ชงตั้งสภาตรวจสอบภาคปชช.
นายไพบูลย์ ยังกล่าวว่า ที่ประชุมยังเสนอให้มีสภาตรวจสอบภาคประชาชน เพื่อกำกับตรวจสอบหลายสภา โดยมาจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อกำกับหรือทำงานควบคู่กับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 แต่ทั้งนี้ก็มีการปรับโครงสร้างและอำนาจของบางองค์กรอิสระ เช่น กกต. ป.ป.ช. และสภาปฏิรูปการเมือง เป็นต้น ซึ่งจะมีโครงสร้างราว 50 - 100 คน ในแต่ละจังหวัด มีวาระดำรงตำแหน่ง 1 ปี มาจากประชาชนในเขตเลือกตั้งสมัครเข้ามา และการเสนอชื่อขององค์กรกลุ่มวิชาชีพแบบเดียวกับ สปช. เมื่อได้รายชื่อแล้วจะมีคณะกรรมการทำหน้าที่สุ่มส่วนที่ประชาชนสมัครมาให้ได้ 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภา ส่วนที่มาจากสาขาวิชาชีพ ก็จะสุ่มมา 1 ใน 3 ประกอบเป็นสภาการตัดสินความผิดที่คล้ายๆ คณะลูกขุน
ผุดรางวัลนำจับซื้อสิทธิ์-ขายเสียง
ประธานอนุกรรมาธิการคณะที่ 8 กล่าวอีกว่า คณะอนุกมธ.ฯยังเสนอให้มีการปรับแนวคิด ให้ผู้ขายสิทธิ์เป็นเสมือนผู้เสพติดยาที่ควรได้รับการเยียวยา ซึ่งจะมีโทษน้อยลงคือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท โดยสามารถส่งศาลแขวนให้ดำเนินการได้เลยแบบเดียวกับเมาแล้วขับ และมีเงินรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแส ส่วนผู้ซื้อสิทธิ์เหมือนผู้ค้ายา ซึ่งจะมีการกำหนดโทษหนักอีกที ส่วน กกต. มีหน้าที่จัดการหาเสียงเพื่อให้ผู้สมัครต้องใช้เงินหาเสียงให้น้อยที่สุด และทำให้ กกต. ควบคุมการหาเสียงแบบประชานิยมแบบเกินเหตุได้
ให้ปปช.ฟ้องตรงไม่ผ่านอัยการ
ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) จะปรับปรุงให้ทำแต่เรื่องการทุจริตระดับชาติ มีอำนาจฟ้องตรงไปยังศาลโดยไม่ต้องผ่านอัยการ ยุบเลิก ป.ป.ช. ระดับจังหวัด ไปให้สภาตรวจสอบภาคประชาชนทำหน้าที่แทน โดยมีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินประจำจังหวัดมาทำให้ที่รองรับสนับสนุนในด้านความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบเชิงบัญชี
ดันสภาตรวจสอบจริยธรรม
ทั้งนี้ ในที่ประชุมอนุกรรมาธิการคณะที่ 8 ยังเสนอให้มีสภาตรวจสอบจริยธรรมแห่งชาติ ที่เน้นผู้ทรงคุณวุฒิด้านจริยธรรม เสนอตัวมาแล้วสุ่มเลือกมาทำหน้าที่ ทำหน้าที่วินิจฉัยการขัดต่อจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือข้าราชการหรือไม่ หากมีมติว่ามีพฤติกรรมขัดจริยธรรม ก็จะมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และมีผลต่อการเข้าสู่ตำแหน่ง โดยมีผู้ตรวจการแผ่นดินคอยสนับสนุนในเชิงธุรการ และเสนอให้ตั้งสภาคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่จะตั้งขึ้นภายหลัง เป็นฝ่ายธุรการสนับสนุน
ใช้โมเดลแบบ’สภาลูกขุน’
“สภาทั้งหมดที่เสนอมาไม่ได้มีการเพิ่มเติม หรือขยายองค์กรที่จะต้องมีสถานที่ หรือตั้งสำนักงานขึ้นมาใหม่ โดยมีองค์กรตรวจสอบที่มีอยู่เดิมเป็นฝ่ายธุรการคอยจัดให้มีการประชุมตามโอกาส มีค่าตอบแทนแค่เบี้ยประชุมไม่มีเงินเดือน โดยใช้อำนาจพิจารณาแบบคณะลูกขุน มีวาระทำงานไม่เกิน 1 ปี โดยหมุนเวียนจับสลากออกครึ่งหนึ่งทุก 6 เดือน และให้ผู้เป็นกรรมการในองค์กรหรือสภาตรวจสอบ รวมทั้ง ผู้ดำรงตำแหน่งของรัฐทุกคน ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และข้อมูลการเสียภาษีต่อสาธารณะ”
รื้อโครงสร้าง’กสทช.’ใหม่
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ยังมีข้อเสนอให้ปรับคณะกรรมการกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้เปลี่ยนเป็นคณะกรรมการกำกับดูแลการสื่อสารสาธารณะแห่งชาติ โดยลดจำนวนลง แต่เพิ่มขอบเขตหน้าที่ให้ดูแลในส่วนของวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม รวมทั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านเทคโนโลยีเช่นจัดสรรคลื่นทุกประเภท และกำกับดูแลด้านเนื้อหาด้วย โดยมีสภาตรวจสอบภาคประชาชนตรวจสอบองค์กรนี้แทนซูเปอร์บอร์ด
ยุบเลิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แนวคิดของคณะกรรมาธิการคณะที่ 8 ยังคงอำนาจการตรวจสอบของสภานิติบัญญัติตามเดิม หรือตรวจสอบ ถอดถอนและส่งฟ้องได้ แต่ให้ยุบเลิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนสภาพัฒนาการเมืองอาจปรับไปยึดโยงกับสภาปฏิรูปที่จะตั้งขึ้นภายหลัง โดยข้อเสนอทั้งหมด จะเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ ในวันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. ร่วมกับอนุกรรมาธิการคณะอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การจัดทำเป็นกรอบเบื้องต้นของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รองปธ.สนช.เตรียมลงอีสาน
ด้านนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 ในฐานะได้รับมอบหมายจากนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นตัวแทนวางกรอบแนวทางเพื่อรับฟังความเห็นจากประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการลงพื้นที่สร้างความปรองดองและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกพื้นที่ว่าหลักๆ จะใช้เครือข่ายสถาบันการศึกษา และเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ให้ทำหน้าที่ประสานระหว่างคนในพื้นที่กับสนช. ให้ได้พบปะพูดคุยกัน
27-29ธค.ทัวร์ฟังความคิดเห็น
นอกจากนั้นจะประสานไปยังองค์กรภาคเอกชนและชุมชนด้วย ซึ่งในสัปดาห์หน้าตนจะเรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้แนวทางที่ชัดเจนของกระบวนการลงพื้นที่ เบื้องต้นตั้งใจว่าในวันที่ไม่มีประชุมสนช.ของทุกสัปดาห์จะมีโครงการที่ให้สนช. ออกไปพบประชาชนโดยจะไปทั่วทุกภาค และมีกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมทุกวิชาชีพโดยวันที่ 27 – 29 ธ.ค. จะเป็นการลงพื้นที่ภาคอีสาน เช่น จ.มุกดาหาร และ บึงกาฬ ซึ่งถือว่าเป็นการลงพื้นที่อย่างเป็นทางการครั้งแรก
อย่างไรก็ตามการลงพื้นที่พบประชาชนของสนช.จะใช้งบประมาณของวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่เลขานุการ สนช. ซึ่งเป็นงบประมาณปกติไม่ได้มีการขอเพิ่มแต่อย่างใด
ไม่ห่วงคนในพื้นที่เห็นต่าง
นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ต่างๆ นอกจาก สนช. จะรับฟังความเห็นจากประชาชนแล้ว ยังเป็นการลงไปสร้างความเข้าใจว่าสถานการณ์ของประเทศขณะนี้เป็นอย่างไร และชี้แจงถึงการทำหน้าที่ของ สนช. ที่เรื่องหลัก คือ การสร้างความปรองดอง และพัฒนาประเทศ ซึ่งตนเห็นว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาจะมาต่อต้านกัน แต่ควรช่วยกันไปสู่เป้าหมายของโรดแมประยะที่ 3 ก็คือ การเลือกตั้ง
เมื่อถามว่าในพื้นที่ที่มีความเห็นต่างค่อนข้างสูงจะพูดคุยกับแกนนำในพื้นที่ให้สื่อสารกับคนในพื้นที่ได้อย่างไร นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า ตรงนี้ไม่น่าเป็นห่วง ตนเคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่น เคยเป็นข้าราชการ และเคยเป็น ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้ง เราพอจะทำความเข้าใจได้ว่าเราไปดี ไปบอกว่าสถานการณ์เดินมาถึงจุดไหนของโรดแมประยะที่ 2 แล้ว
‘บวรศักดิ์’โยนกมธ.ปมนิรโทษ
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานอนุกรรมาธิการฯ เสนอให้มีการนิรโทษกรรม เพื่อสร้างความปรองดองว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนายเอนกรับผิดชอบพิจารณาการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญในหมวด 4 อยู่แล้ว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความเห็นในชั้นอนุกรรมาธิการฯเท่านั้น ซึ่งตนยังไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้ เพราะต้องรับฟังความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก่อนว่าจะเห็นเป็นอย่างไร
ทั้งนี้อนุกรรมาธิการฯ พิจารณาจัดทำรัฐธรรมนูญ ทั้ง 10 คณะ มีนัดส่งการบ้านต่อกรรมาธิการยกร่างฯ ในวันที่ 1 ธ.ค. ส่วน สปช.จะส่งการบ้านในวันที่ 15-17 ธ.ค.นี้ ซึ่งทางคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ก็จะทำการตรวจการบ้านทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 18 - 26 ธ.ค. ปลายเดือน ธ.ค.ก็จะพอทราบได้ว่าแนวทางและหน้าตาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นอย่างไร
เริ่มเปิดให้สื่อเข้าฟัง5มกราปีหน้า
นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นทางคณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะเปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ได้ต่อเมื่อเข้าสู่กระบวนการยกร่างรายมาตรา ที่จะเริ่มในวันที่ 5 ม.ค. 59 แต่ก็ต้องพิจารณาอีกว่าจะให้เข้าฟังในรายมาตราใดได้บ้าง เหมือนอย่าง กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ที่จะไม่เปิดให้เข้าฟังได้เลย ตลอดระยะเวลาการร่างฯ 4 เดือนครึ่ง และไม่มีแม้แต่บันทึกการประชุม
“ส่วนระยะเวลาการร่างรัฐธรรมนูญยืนยันว่าจะเป็นไปตามโรดแม็พแน่นอน เพราะหากไม่ทันก็ตายตกไปตามกัน ไม่มีใครอยากเอาชื่อเสียงมาทิ้งไว้ที่นี่อยู่แล้ว และขอยืนยันอีกครั้งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะไม่มีพิมพ์เขียวเอาไว้ก่อน เนื่องจากยังมีกระบวนการที่ให้ สปช. สนช. คสช. และครม. ได้เสนอแก้ไขอีก”นายบวรศักดิ์ กล่าว
เลือกนายกฯโดยตรงไม่เหมาะสม
และว่าส่วนข้อเสนอให้เลือกตั้ง ครม.และนายกรัฐมนตรีโดยตรงนั้น นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวมีมาตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 แล้ว ซึ่งประเทศอิสราเอลก็เคยใช้แนวทางนี้ ก่อนที่สุดท้ายจะยกเลิกไป การเสนอรูปแบบการเลือกตั้งใดจำเป็นต้องเสนอให้สอดคล้องต่อสภาพทางสังคมของไทยด้วย
‘วันชัย’หนุนนิรโทษเฉพาะกลุ่ม
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปช.ในฐานะกรรมาธิการปฏิรูปด้านการเมือง กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการนิรโทษกรรม เพื่อสร้างความปรองดองว่า ส่วนตัวเห็นด้วย หากจะมีการนิรโทษกรรมเฉพาะคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวกับการร่วมชุมนุมทางการเมือง เพราะไม่มีเจตนา ยกเว้นคดีอุกฉกรรจ์ที่เกี่ยวกับการฆ่า ทำลาย หรือเผาทรัพย์สิน รวมถึงคดีทุจริต การหมิ่นสถาบัน จะนำมานิรโทษกรรมไม่ได้ ต้องแยกออกมาต่างหาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี