กมธ.ชงล้างบาง“ตำรวจ”
โละทิ้งสตช.
ลดเก้าอี้สส.เหลือ350
มทภ.1ชี้จ้าง3นิ้วแค่ข่าว
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรรม ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช. แถลงหลังประชุม กมธ. ว่า ที่ประชุมได้เสนอแนวทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในส่วนของตำรวจ โดยเห็นพ้องว่า รูปแบบบริหารงานตำรวจปัจจุบัน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ต้องเปลี่ยนแปลง โดยต้องไม่มีอีกต่อไป แล้วตั้งองค์กรใหม่เพื่อให้ตำรวจทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ การดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายปลอดจากการเมืองแทรกแซง และมีการตรวจสอบการใช้อำนาจของตำรวจอย่างเป็นธรรม โดยเสนอตั้ง “สภากิจการตำรวจแห่งชาติ” ประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคง กระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ผ่านการคัดเลือกจากสส.และสว.เข้ามาทำหน้าที่
รื้อใหม่โครงสร้างตำรวจ
ทั้งนี้ต้องมีการกระจายอำนาจบริหารจากเดิมที่รวมศูนย์ไว้ที่ สตช. ให้กระจายไปสู่ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น โดยมีหน่วยงานตามกฎหมายคอยกำกับ รวมทั้งให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ แต่งตั้ง โยกย้าย หรือถอดถอน นอกจากนี้ให้จัดโครงสร้างองค์กรตำรวจ รวมถึงปรับเปลี่ยนหน่วยงานให้มีความเหมาะสม โดยให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับงานด้านใดให้โอนไปขึ้นตรงกับหน่วยงานนั้น เช่น ตำรวจป่าไม้ ไปอยู่กับกรมป่าไม้ ตำรวจรถไฟ ไปอยู่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และตำรวจท่องเที่ยว ให้ไปอยู่กับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น แต่ทั้งหมดไม่ได้ลดทอนอำนาจโครงสร้างตำรวจ เพราะอำนาจหน้าที่ของตำรวจยังคงอยู่ และเป็นเพียงตุ๊กตาเบื้องต้นที่จะนำเสนอต่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
คง4ศาล-เพิ่มอุทธรณ์คดีการเมือง
ด้าน นายบรรเจิด สิงคะเนติ ประธานคณะอนุ กมธ. พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 7 เรื่องนิติธรรม ศาลและกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะอนุฯว่า จะนำเสนอ 2 กรอบหลักการใหญ่ คือ 1.เรื่องศาล ให้คง 4 ศาลเช่นเดิม คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร ส่วนกรณีศาลพิจารณาความผิดหรือคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่กระแสข่าวว่า นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อนุ กมธ.ฯ เสนอให้เพิ่มกระบวนการอุทธรณ์ในศาลที่พิจารณาในคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ถือเป็นข้อเสนอหนึ่ง แต่เรื่องการอุทธรณ์นั้นในรัฐธรรมนูญ 2550 มีระบุอยู่แล้วคือ หากมีข้อมูลใหม่ หรือข้อมูลเพิ่มเติม ให้ดำเนินการทบทวนได้
ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
2.กระบวนการยุติธรรม ได้เสนอเรื่องสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไรและหลักประกันของคนในกระบวนการยุติธรรม ความเที่ยงธรรม รวมถึงระบบทางอาญาเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด ด้วยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการ นอกจากนั้นในคดีสำคัญต้องให้อัยการเข้าร่วมสอบสวนกับตำรวจตั้งแต่ต้นทางและจะกำหนดให้รัฐช่วยเหลือทางกฎหมายกับประชาชน อาทิ การให้ความรู้ ให้คำแนะนำและการไกล่เกลี่ย
นายกฯมาจากสภาผู้แทนเลือก
ขณะที่ นายสุจิต บุญบงการ ประธานคณะอนุ กมธ. พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 3 ว่าด้วยผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวด 1 ระบบผู้แทนที่ดีและผู้นำการเมืองที่ดี กล่าวว่า อนุกมธ.มีข้อสรุปคือ 1.ที่มาของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) คือใช้รูปแบบที่มาเหมือนรัฐธรรมนูญ 2550 คือ ให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกฯ เนื่องจากรูปแบบที่ผ่านมาไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้อำนาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงควรแก้ไขในส่วนที่เป็นข้อบกพร่องมากกว่า
ทั้งนี้ยอมรับว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อสรุปจากเสียงข้างมากของอนุกมธ.ฯส่วนข้อเสนอข้างน้อย คือ ให้เลือก ครม.โดยตรง ยังคงสงวนสิทธิ์ไว้และนำเข้าสู่กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหญ่เช่นเดียวกัน ทั้งนี้มีประเด็นที่พิจารณาต่อคือ การให้เลือก ครม.ผ่านการเลือกตั้งตรงของประชาชนนั้น จะเพิ่มความเข้มแข็งให้ฝ่ายบริหารมากเกินไป จนป็นปัญหาต่อการบริหารงานในอนาคตได้
มีสส.350คน-สว.มาจาก2ทาง
นายสุจิต กล่าวด้วยว่า สำหรับที่มาของ สส. จะใช้ระบบเลือกตั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ โดยเสนอจำนวนสส.อยู่ที่ 350 คน ทั้งนี้อาจปรับลดจำนวนดังกล่าวได้ แต่ต้องไม่เพิ่มมากไปกว่านี้ เพื่อให้การทำงานของสส.คล่องตัว และตอบสนองเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีศักยภาพ ขณะที่มาของสว.จะยังคง 2 ระบบ คือ มาจากเลือกตั้งและสรรหา ตามวิชาชีพที่มีกรอบการสรรหาอย่างกว้าง ทั้งนี้รูปแบบสรรหานั้น อาจมีการโหวตจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือประชาชนด้วย ส่วนหน้าที่ถอดถอนของสว.นั้นยังให้คงไว้เช่นเดิม
ลงรายมาตรา12ม.ค.-3เม.ย.เสร็จ
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า หลังอนุกรรมาธิการยกร่างฯทุกคณะส่งกรอบแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญมาครบแล้ว กมธ.ยกร่างฯ จะเริ่มพิจารณาเนื้อหาของอนุกมธ.แต่ละคณะต่อเนื่องจนถึงวันที่ 14 ธันวาคม แล้ววันที่ 15-17 ธันวาคม จะมีการร่วมประชุมกับ สปช. เพื่อรับฟังความเห็น แล้วจะกลับมาประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเพื่อเริ่มต้นยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
ผุดศาลวินัยการคลังปราบโกง
นายคำนูญ กล่าวอีกว่า จากกรณีประเทศไทยเกิดปัญหาทุจริตจำนวนมากในวงการตำรวจ รวมถึงความคิดต่างกันในการส่งฟ้องคดีระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับอัยการสูงสุด ทำให้คณะอนุกรรมาธิการ 3 ด้านประกอบด้วย ศาล องค์กรอิสระและการคลัง ของกมธ.ยกร่างฯ ซึ่งผ่านการเห็นชอบจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างฯ เห็นว่า ควรไปหารือกับ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช. เพื่อออกมาตราการและความชัดเจนสำหรับปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น 5 ข้อ เช่น การฟ้องศาลในคดีวินัยการคลังและงบประมาณ ที่ไม่ใช่กระบวนการที่ชัดเจนแบบคดีอาญา แต่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า มีการทุจริต โดยเห็นว่า ควรตั้งศาลขึ้นมาใหม่ เป็นศาลคดีวินัยการคลังและงบประมาณ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของศาลฎีกา หรือศาลอุทธรณ์ เป็นต้น
แม่ทัพ1ชี้นศ.รับ5หมื่นแค่การข่าว
วันเดียวกัน พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มดาวดิน นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำหนังสือถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยปฏิเสธการรับเงินว่าจ้างจากนักการเมืองท้องถิ่นให้ออกมาเคลื่อนไหวชู 3 นิ้วต้านรัฐประหารว่า ข้อมูลที่ให้สื่อเป็นรายงานการข่าวเบื้องต้น ไม่ได้เป็นการแฉ เป็นเพียงการรายงานข้อมูลด้านการข่าวเข้ามาให้รับทราบเท่านั้น ซึ่งยังต้องรับฟังข้อมูลจากด้านอื่นสนับสนุนและต้องประมวลผลด้วย
มั่นใจไม่มีปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียว
ส่วนที่มีความเป็นห่วงว่า ประเด็นดังกล่าวจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงเหมือนกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พล.ท.กัมปนาท กล่าวว่า เราพยายามพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันและไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ตนรับฟังจากทุกฝ่าย ไม่ได้ปรักปรำเด็กกลุ่มดังกล่าวว่า รับเงินว่าจ้าง เป็นเพียงรายงานด้านการข่าว ซึ่งตนยังไม่ได้บอกว่า เชื่อหรือไม่เชื่อ เราเคารพอุดมการณ์ของทุกกลุ่มและทุกฝ่ายเพื่อรักษาบรรยากาศการปรองดองให้บ้านเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไปทำความเข้าใจกับนักศึกษาเด็กกลุ่มดังกล่าวหรือไม่นั้น แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ในแต่ละกองทัพภาคมีทีมงานลงพื้นที่เพื่อไปพูดคุยเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีเราพยายามพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจกัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุดและการยุติความขัดแย้ง จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ดังนั้นขอร้องทุกฝ่ายว่า อย่าทำให้เราทะเลาะกับใครเลย
อดีตสส.ขอนแก่นปัดจ้าง5หมื่น
ด้าน นายธนิก มาสีพิทักษ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) จ.ขอนแก่น และอดีตแกนนำเสื้อแดง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ฝ่ายทหารได้ข่าวมาแบบไหนตนไม่ทราบ แต่ไม่เชื่อว่ามีการว่าจ้างนักศึกษาจำนวน 5 หมื่นบาท เพื่ออกมาชู 3 นิ้ว เพราะนักศึกษาคงไม่เอาความคิด อุดมการณ์ ไปแลกเงินเพียงแค่นี้ และในฐานะอดีตส.ส. ขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะพวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
นศ.ไม่มาเรียน-มข.ปิดปากเงียบ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่คณะนิติศาสตร์ มข.พบว่า นักศึกษาชู 3นิ้วต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ ไม่มีใครมาเรียนหนังสือแม้แต่คนเดียว เมื่อติดต่อทางโทรศัพท์ก็ไม่ยอมรับสาย นอกจากนี้ คณบดีคณะนิติศาสตร์ ก็ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยระบุว่า เป็นคำสั่งของอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่จะเป็นผู้ให้ข่าวเพียงผู้เดียว
‘บิ๊กตู่’ไม่ยุ่งเรื่องนิรโทษกรรม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)กล่าวถึงการเสนอนิรโทษกรรมซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งอีกหรือไม่ว่า ไม่กลัว ไม่รู้ ต้องไปถามคนพูด ตนไม่ได้พูด เป็นเรื่องของ สปช.ที่จะไปดำเนินการ ผู้สื่อถามว่า วิธีการปรองดอง และนิโทษกรรมจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปรองดองและนิรโทษกรรมคนละเรื่องกัน ถ้าทุกคนอยากจะปรองดองไม่ต้องเอาเหตุผลอะไรมาพูดกันก็ปรองดองกันได้ ถ้าจะนิรโทษก็นิรโทษก็ไปว่ากันมา สำหรับตนไม่ได้คิดและไม่เคยเสนอเรื่องนี้จากฝ่ายรัฐบาล ไปคิดกันเอง และตนก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย
เมื่อถามว่า คดีการเมืองบางเรื่องควรจะนิรโทษกรรมหรือไม่ เพื่อทำให้บรรยากาศการเมืองดีขึ้น นายกฯกล่าวว่า ก็ว่ากันไป อะไรคือคดีการเมือง อะไรคือคดีอาญาก็ว่ากันมา คดีอาญา หมายถึงการทำให้เสียหาย มีคนบาดเจ็บล้มตาย ส่วนคดีการเมืองเป็นเรื่องประท้วงต่างๆก็ว่ากันไป
‘วิษณุ’ชี้แค่โยนหินถามทาง
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการยกร่างฯ เสนอให้ออกกฎหมาวยนิรโทษกรรม ว่า ตอนนี้ยังฟังไม่ได้ว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอในการปฏิรูป หรือข้อเสนอในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็โยนหินมาหนึ่งก้อนถามทาง ช่วยโยนหินมาหลายๆก้อนหน่อยจะได้เข้าใจ ตอนนี้คงตอบไม่ได้ว่า การนิรโทษกรรมควรบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญหรือออกเป็นกฎหมาย ต้องไปถามผู้เสนอมาและต้องเสนอมาให้สุดกระบวนการว่า จะนิรโทษใคร ทำเรื่องนี้เมือใด พร้อมทั้งเหตุผลในการเสนออย่างไร ถ้าเสนออย่างเป็นระบบก็อาจจะฟังขึ้นก็ได้
นัดบก.ข่าวทำความเข้าใจอีก
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้แจ้งว่าวันที่ 3 ธันวาคม ได้เชิญบรรณาธิการข่าวและผู้บริหารสื่อ 15-16 คน ร่วมพูดคุยสร้างความเข้าใจการทำงานของรัฐบาล เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองจะไปได้ส่วนหนึ่งอยู่ที่สื่อมวลชน หากสื่อเข้าใจการปฏิบัติงานของรัฐบาล เข้าใจสถานการณ์ จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีที่สุดในการปฏิรูปบ้านเมืองและเดินไปสู่ประชาธิปไตย
“ยงยุทธ”โยนบิ๊กตู่ตัดสินให้ออก
วันเดียวกัน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยกรณีเตรียมลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากมีปัญหาร่วมงานในทีมโฆษกรัฐบาลว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเคยบ่นเรื่องงานเยอะทำให้เหนื่อย แต่นายกฯได้ให้กำลังใจทำงาน ซึ่งเรื่องของตำแหน่งจะให้ตนทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ ขอให้เป็นเรื่องผู้ใหญ่ตัดสินใจ เวลานี้ยังเตรียมงานแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 3เดือน วันที่ 25ธันวาคมนี้
อปท.หนุนนายกฯใช้มาตรา44
นายเกรียงไกร ภูมิเหล่าแจ้ง นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่าน พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกท้องถิ่นที่หมดวาระรักษาการในตำแหน่งต่อไป โดยสนับสนุนนายกฯให้ประกาศหรือออกคำสั่งตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) คือผู้ที่หมดวาระดำรงตำแหน่งรักษาการตำแหน่งเดิมต่อไป ไม่คัดสรรคนนอกเข้ามาทำหน้าที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี