วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557, 14.52 น.
16 ธ.ค. 57 ที่อาคารรัฐสภา การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2557 เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามและให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง สรุปความเห็นหรือข้อเสนอแนะในการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ประจำสภา 18 คณะ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว เป็นวันที่ 2 โดยมี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นประธานในที่ประชุม
โดยทางคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง อภิปรายข้อเสนอต่อ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายสมชัย ฤชุพันธ์ ประธาน กมธ. กล่าวในที่ประชุมฯว่า ข้อเสนอของ กมธ. ปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง ได้แก่ 1. รัฐจะต้องจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติ โดยกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งจะต้องมีหน่วยงานอิสระเพื่อติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
2. บุคคลจะต้องแสดงสถานะรายได้ต่อหน่วยงานที่สัดกัด เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ และผู้มีรายได้มากเสียภาษีอย่างเหมาะสม
3. รัฐจะต้องมีการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
4. จัดตั้งองค์กรอิสระ ชื่อว่า "คณะกรรมการการเงิน การคลัง และภาษีอากรแห่งชาติ" ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน ประชาชน และนักวิชาการ เพื่อเสนอข้อมูลต่อรัฐบาลในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
5. จัดตั้ง "สำนักงานงบประมาณแห่งรัฐสภา" ทำหน้าที่วิเคราะห์และติดตามการใช้จ่ายงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา ว่าส่งผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มอาชีพ หรือระบบเศรษฐกิจระยะยาวอย่างไรบ้าง รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะ
6. จำแนกการจัดเก็บภาษีระดับชาติและภาษีท้องถิ่นอย่างชัดเจน เนื่องจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ส่งเสริมให้มีการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น จึงควรปรับระบบการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้อง โดยพื้นที่ที่สามารถจัดเก็บภาษีได้มาก ควรมีส่วนในการจัดสรรงบประมาณที่จัดเก็บได้ ส่วนพื้นที่ที่จัดเก็บภาษีได้น้อย รัฐจะต้องสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม
7. ปฏิรูป พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี จะต้องมีการประมาณการรายได้และรายจ่ายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะระบุแหล่งทุนที่ชัดเจน และกระบวนการในการชำระหนี้ที่ชัดเจน
8. จัดทำกฎหมายการเงินการคลังแห่งชาติ ซึ่งเคยมีการเสนอร่างดังกล่าวแล้วใน ปี 51 แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดวินัยการคลัง รายได้ รายจ่าย การกู้ยืมเงิน รวมถึงการคลังท้องถิ่น
9. กำหนดให้มี พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ป้องกันนโยบายที่สร้างความนิยมทางเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลใช้นโยบายประชานิยม เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ไม่ใช่การงดสวัสดิการภาครัฐ รวมถึงวิเคราะห์ความคุ้มค่าของนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล
10. ขจัดช่องโหว่ในการจัดสรรงบประมาณไปแต่ละยังพื้นที่ โดยวางมาตรการตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการต่างๆ ของ สส.
11. ทบทวนความเหมาะสมในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงจำแนกบทบาทของภาครัฐในการเป็นผู้ตรวจสอบและ เจ้าของรัฐวิสาหกิจอย่างชัดเจน โดยจัดตั้งหน่วยงานที่เป็นอิสระจากกระทรวงในกำกับดูแลในมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เอกชน และรัฐวิสาหกิจ
12. จัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยและ
13. รัฐจะต้องสร้างมาตรการป้องกันการผู้ขาดของภาคธุรกิจ เว้นภาคธุรกิจที่ผูกขาดโดยธรรมชาติ ไม่คุ้มหากปล่อยให้เกิดการแข่งขัน เช่น การขนส่งไฟฟ้าตามสายส่งขนาดใหญ่ แต่จะต้องมีการกำกับดูแล เพื่อความเป็นธรรมของผู้บริโภค
หลังจากนั้น นายเขมทัต สุคนธสิงห์ สปช.ด้านการศึกษา อภิปรายว่า การจัดตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่ กมธ. ปฏิรูปเศรษฐกิจ ฯ นั้นยังไม่เพียงพอ แต่ติดตามการบังคับใช้กฎกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากกระบวนการหนึ่งที่มีการทุจริต ซึ่งในอีกด้านหนึ่งภาคเอกชนที่เคยกระทำผิดคดีทุจริตเอง ก็ควรมีการทำบัญชีดำ(Black List) และบทลงโทษที่ชัดเจน นอกจากนั้นเสนอให้มีวางมาตรการตรวจสอบสถาบันทางการเงินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เช่น นาโนไฟแนนซ์ ฯลฯ
ต่อมา นายพรายพล คุ้มทรัพย์ สปช.ด้านพลังงาน อภิปรายว่า เจตนารมณ์ของ กมธ. ปฏิรูปเศรษฐกิจ ฯ คือความพยายามในการรวมกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน การคลัง เช่น พ.ร.บ. งบประมาณ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี พ.ร.บ. หนี้สาธารณะ และพ.ร.บ. เงินคงคลัง ไว้ใน พ.ร.ป. ฉบับเดียว จะต้องแก้ไขนิยามของหนี้สาธารณะ คือ หนี้ในงบประมาณรวมกับหนี้รัฐวิสาหกิจ เปลี่ยนเป็น "หนี้ภาครัฐ" คือ หนี้ในระบบและนอกระบบ ซึ่งรวมหน่วยงานราชการ กองทุนหมุนเวียนฯ ด้วย เพราะที่ผ่านมา นักการเมืองนิยมใช้งบประมาณจากแหล่งทุนนอกระบบ เช่น ธนาคารเฉพาะกิจ เป็นต้น สำนักงบประมาณแห่งรัฐสภาที่ กมธ. ปฏิรูปเศรษฐกิจ เสนอต่อที่ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ ควรเพิ่มบทบาทหน้าที่ในการวิเคราะห์บทบาทหน้าที่ของพรรคการเมืองหรือนโยบายของพรรคการเมือง ที่มีส่วนสร้างความเสียหายต่อประเทศ และสร้างหลักประกันให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ป้องกันไม่ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทรกแซงการทำงาน
ส่วน นายพิสิฐ ลี้อาธรรม สปช.ด้านเศรษฐกิจ อภิปรายว่า ควรมีจัดต้องกองทุนการออม เพื่อรองรับสภาวะผู้สูงอายุในสังคมไทย และในมิติของการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานที่จะควบคุมการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินต่างๆ ให้มีความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค รวมถึงสร้างหลักประกันให้กับประชาชนที่ใช้บริการทางการเงินด้วย
ทางด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล สปช.ด้านพลังงาน อภิปรายว่า อัตราภาษีที่ภาคธุรกิจจะต้องจ่ายให้รัฐราว 2.5 เปอร์เซ็นต์ ไม่คุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการพร่องถ่ายทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของประชาชน เช่น การสัมปทานของภาครัฐ ที่ไม่มีการศึกษาผลกระทบก่อนและหลังการสัมปทาน นอกจากนั้นรัฐจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายสากล เช่น การเปิดเผยรายได้ที่ภาครัฐได้รับจากการให้สัมปทานน้ำมัน ก๊าช และเหมือนแร่ รวมถึงเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่เป็นหุ้นส่วน ป้องกันไม่ให้เกิดการอำพลางในลักษณะนิติบุคลคล ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูงไม่ควรเป็นหุ้นส่วนโดยไม่มีข้อยกเว้น
สำหรับ นายวัลลภ พริ้งพงษ์ สปช.ด้านการปกครองท้องถิ่น อภิปรายว่า สำหรับการจำแนกการจัดเก็บภาษีของท้องถิ่นให้ชัดเจน มี 3 แนวทาง คือ 1. การกำหนดอัตราภาษีที่สามารถบริหารด้วยตนเอง 2.เมื่อมีการปรับโครงสร้างภาษีที่ดิน ควรให้ อปท. สามารถจัดเก็บและบริหารจัดภาษีดังกล่าวได้ นอกเหนือจากภาษีโรงเรือน อาคารปลูกสร้าง และบำรุงท้องที่ 3. จัดเก็บภาษีประเภทใหม่ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีจากสถานประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานที่ใช้ทรัพยากรในพื้นที่นั้นๆ และ 4 สร้างหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณไปยัง อปท. ให้สอดคล้องกับภาษีที่จัดเก็บได้