ที่ประชุมสปช.ถกแนวทางแก้ลต. ปรับบทบาทมท.-กกต.ให้สมดุล
วันจันทร์ ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558, 18.54 น.
Tag :
12 ม.ค. 58 การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ครั้งที่ 3/2558 โดยมี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีระเบียบวาระการประชุมที่สำคัญคือการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง ระบบการเลือกตั้งที่สุจริตและเป็นธรรมในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ซึ่งที่ประชุมได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง เช่น นายไพโรจน์ พรหมสาส์น สปช.ด้านการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ระบบเลือกตั้งที่ดี มีสิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่การการทำทะเบียนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้มีคนตาย คนย้ายออกมาใช้สิทธิ์ มาจนถึงการตรวจสอบการลงคะแนน การนับคะแนนที่เห็นว่าควรเป็นการนับในหน่วยเลือกตั้งไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างขนย้ายหีบบัตรเลือกตั้ง อีกทั้งจำเป็นต้องบ่มเพาะจิตสำนึกไม่ซื้อขายสิทธิ เพราะการซื้อขายเสียงปัจจุบันไม่ได้อยู่แค่คืนหมาหอน แต่มีการทำล่วงหน้าผ่านหลายช่องทางทั้งเครือข่ายแม่บ้าน สตรี ในท้องที่ พอถึงเวลาก็รู้ว่าจะต้องเลือกใคร พรรคใด ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้
ด้าน นายเดชฤทธิ์ ปัญจะมูล สปช.ปราจีนบุรี กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาใครเป็นหัวคะแนนในหมู่บ้านชาวบ้านรู้กันหมดว่าใครจะนำเงินมาจ่าย ใครเรียกเก็บบัตรประชาชนมาลงพื้นที่ ชาวบ้านรู้กันหมดยกเว้นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่รู้อยู่คนเดียว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้เห็นว่าการประกาศกฎอัยการศึกสำหรับการเลือกตั้งยังเป็นเรื่องจำเป็น และควรนำทหารจากต่างพื้นที่ไปควบคุมการเลือกตั้ง โดยสืบค้นหัวคะแนน ที่จะเป็นคนรับคำสั่งมาจากผู้สมัครพรรคการเมือง ทั้งนี้ เชื่อว่าในปีสองปีนี้ยังควรต้องใช้วิธีนี้ หลังจากที่ได้พัฒนาปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนจนเห็นผลมีความรับผิดชอบก็จะค่อยสู่ระบบปกติได้ อีกทั้งถ้าเอ่ยถึงนักการเมืองจะถูกมองว่าเลวร้าย หยาบคาย ควรเปลี่ยนคำว่านักการเมืองเป็นนักพัฒนาประชาธิปไตย แทนน่าจะดีกว่า
นายประชา เตรัตน์ สปช. ชลบุรี กล่าวว่า จากที่มีข่าวว่าจะให้กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้ง และ กกต. ทำท่าตื่นเต้นตกใจเหมือนหวงอำนาจ ไม่อยากให้มหาดไทยเป็นคนจัดนั้น จากประสบการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2476 - 2540 และไม่ได้จัดเพียงหน่วยงานเดียวแต่ร่วมกับทั้ง ตำรวจ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั้นก็ทำได้ดีมาโดยตลอด และที่ให้มหาดไทยจัดเพราะการใช้อำนาจสั่งข้าราชการในจังหวัดเป็นอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ไม่ต้องการให้กกต.จัดการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้เกิดการถ่วงดุล แยกฝ่ายจัดการเลือกตั้งกับฝ่ายสอบสวนไม่ให้เป็นฝ่ายเดียวกัน เพราะหากฝ่ายจัดการเลือกตั้งผิดพลาดจะกล้าจับผิดตัวเองได้อย่างไร ส่วนตัวเห็นว่า กกต.ควรจะมีอำนาจวินิจฉัยกึ่งใบแดงได้เลย แต่มีคนไม่เห็นด้วย ซึ่งการจัดการเลือกตั้งไม่ใช่คดีอาญา ไม่จำต้องให้ศาลไต่สวนจนสิ้นสงสัย หรือไม่ต้องรอใบเสร็จที่หากได้ยาก แต่ประชาชนอยู่ในพื้นที่รู้หมดว่าใครซื้อเสียง เท่าไหร่
นายประชา กล่าวว่า การที่ กกต.ออกมาเปรียบว่าให้กระทรวงมหาดไทยจัดเลือกตั้งเหมือนยื่นดาบให้โจรนั้น เข้าใจว่าคงไม่ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น ซึ่งยอมรับว่าข้าราชการมีฝักใฝ่การเมืองจริง แต่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปออกแบบกฏกติกาว่าหากข้าราชการเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายการเมืองก็ต้องมีบทลงโทษกำหนดให้ชัดเจนเลย และให้อำนาจ กกต. ในช่วงหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งหากข้าราชการคนไหนฝักใฝ่การเมืองหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมสามารถสั่งโยกย้ายได้เลย
ส่วน นายเสรี สุวรรณภานนท์ อภิปรายว่า ต้องเข้าใจปัญหาเดิมของระบบการเลือกตั้ง ว่าทำอย่างไรถึงจะขจัดการทุจริต คอร์รัปชั่นได้ เพราะต้นตอของปัญหามาจากนักการเมืองที่ซื้อเสียงเข้ามา เพื่อให้มีเสียงข้างมากในสภาและได้เป็นรัฐบาล หากสามารถจัดสรรอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติได้ลงตัวก็จะได้ระบบการเมืองที่ดี ส่วนที่มีแนวคิดให้มีศาลเลือกตั้งนั้น ตนไม่เป็นด้วย และที่ผ่านมา กกต.ถูกแทรกแซง ทำงานอยู่บนผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้ กกต. ถูกฟ้องร้อง หรือถูกดำเนินคดี ตนจึงเห็นว่าสิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุด คือต้องกำหนดให้อำนาจการให้ใบเหลือง ใบแดง กับผู้ที่ทุจริตการเลือกตั้งทั้งหมดไปอยู่ที่ศาลยุติธรรม เว้นแต่เป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ควรให้ กกต.เป็นผู้ให้ใบเหลือง ใบแดงได้เลย
นายสยุมพร ลิ่มไทย อภิปรายว่า ปัญหาการเลือกตั้งไทยมี 3 ข้อคือ การซื้อสิทธิขายเสียง ซึ่ง 1 ปีจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นเฉลี่ยประมาณ 4-5 ครั้ง จะมีการจ่ายเงินซื้อเสียงตกหัวละ 10,000 บาท ถือว่ามากสำหรับคนชนบท ต่อมา การทุจริตเลือกตั้งที่ทำเป็นขบวนการประกอบด้วย ผู้สมัคร หัวคะแนน ผู้ขายเสียง และเจ้าหน้าที่รัฐ และหน่วยงานผู้รับผิดชอบคือ กกต. ซึ่งมีความสงสัยเคลือบแคลงในการทำงานของ กกต. ว่า ตรงไปตรงมาหรือไม่ มีการกล่าวว่า ใบเหลือง เปลี่ยนเป็นใบขาวได้ หรือใบแดงเปลี่ยนเป็นใบเหลืองได้ ถ้ามีการวิ่งเต้นและมีสัมพันธ์ที่ดีกับกกต. อีกทั้งการทำหน้าที่ของกกต.ล่าช้ามาก ในหลายพื้นที่จำเป็นต้องให้ผู้ได้รับเลือกตั้งต้องปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน หรือบางพื้นที่ผู้ได้รับเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่เกือบครบวาระ ใบเหลืองหรือใบแดงถึงจะออกมาได้ ซึ่งตนมีข้อเสนอ คือ การป้องปราม เพื่อให้มีการกระทำการทุจริตซื้อเสียงน้อยลง เป็นเรื่องที่ทำได้ หากมีการทำอย่างจริงจังจากผู้เกี่ยวข้อง การกำหนดโทษของผู้ที่กระทำความผิด ในส่วนผู้ซื้อเสียง หรือผู้สมัคร อาจมีความจำเป็นที่จะต้องลงโทษอย่างรุนแรง โดยต้องตัดสิทธิ ตลอดชีวิต และหัวคะแนนก็ต้องมีบทลงโทษ อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าการเลือกตั้งควรเป็นบทบาทขององค์กรกลาง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่ถูกแทรกแซง เพราะหากให้กกต.มาจัดการเลือกตั้งเองทั่วประเทศคงไม่ไหว เพราะการเลือกตั้งมีอยู่ตลอดปี ทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่น และระดับชาติ แล้วให้กกต.ไปทำหน้าที่ที่สำคัญกว่าคือการตรวจสอบ ไต่สวน การเลือกตั้ง แล้วให้ใบเหลืองใบแดง ส่วนการสรรหากกต. ที่ผ่านมมาได้กกต.มาจากตุลาการเป็นหลัก ทั้งที่จริงๆ แล้วควรมาจากบุคคลที่มาจากหลากหลาย อาชีพ ไม่เช่นนั้นอาจจะได้ กกต.ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่สามารถทำงานร่วมกับบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้
ขณะที่นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา อภิปรายว่า ระบบการเลือกตั้งจะสุจริตและเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องมองทั้งระบบภายนอกและภายใน คือ การแก้ปัญหาต้องแก้ไขปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะคนที่ไม่พึงปรารถนาจะเข้ามามากในระบบการเมือง ทางด้านนายวันชัย สอนศิริ เสนอให้มีมาตรการเพื่อให้ประชาชนมีความรังเกียจการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต เป็นต้น