วันพุธ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558, 15.14 น.
14 ม.ค. 58 นายพิชิต ชื่นบาน ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายของ คณะทนายความน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เผยถึงการประชุมทีมทนายความว่า ทีมทนายเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อให้การพิจารณาคดีถอดถอนของสนช. ต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทีมทนายเห็นว่าคำถามที่สนช.ควรซักถามนายวิชา มหาคุณ ผู้แทนของคณะกรรมการป.ป.ช. ในคดีถอดถอน ดังต่อไปนี้
1.ก่อนการชี้มูลความผิดในคดีโครงการรับจำนำข้าวคณะกรรมการ ป.ป.ช. เหตุใดผู้กล่าวหา ไม่มีการไต่สวนและแสวงหาพยานหลักฐานอันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหา ดังนี้ 1.ปัญหา “โครงการรับจำนำข้าวในอดีต” และ2.ปัญหา“โครงการประกันรายได้เกษตรกร” มีปัญหา โดยข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาทั้งหมดของโครงการช่วยเหลือชาวไทยในอดีตกลับไม่มีการไต่สวนให้สิ้นกระแสความ แต่ด่วนสรุปชี้มูลความผิดต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหา โดยเลือกที่จะเชื่อแต่รายงาน TDRI ในอดีต ที่ ป.ป.ช. จ้างทำเท่านั้น และมีคำสั่งให้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหา ยุติโครงการรับจำนำข้าว ภายหลังรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวได้เพียง ๒ วัน
2.นายวิชา ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช. เจ้าของสำนวนผู้ไต่สวนคดีโครงการรับจำนำข้าวได้เคยไปกล่าวปาฐกถา “การทุจริต การเมือง ความอยู่รอดของประเทศ” ในวันสัญญาธรรมศักดิ์ ประจำปี 2557 ว่า เมื่อปี 55 ยืนยันว่ามีข้าวในโกดัง 2 ล้านตันหายไป ใช่หรือไม่ ที่กล่าวหาเช่นนั้นมีหลักฐานใดยืนยันคำกล่าวหาว่าข้าวจำนวนดังกล่าวได้หายไป และเมื่อสรุปสำนวนชี้มูลความผิดกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ยอมบันทึกบัญชีข้าวจำนวน 2 ล้านตัน ตามรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชี ใช่หรือไม่ และข้าวในโกดังที่อ้างว่าหายไปจำนวน 2 ล้านตันนั้น เป็นข้าวจำนวนและชนิดเดียวกันกับที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวไม่ยอมบันทึกบัญชี จำนวน 2.98 ล้านตัน โดยอ้างว่าข้าวหายใช่หรือไม่
3.ก่อนการชี้มูลความผิด ( 8 พฤษภาคม 57) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มีหนังสือขอให้ ป.ป.ช. “เผชิญสืบ” เพื่อตรวจสอบให้ชัดแจ้งว่าข้าวไม่หาย แต่กรรมการ ป.ป.ช. กลับมีมติไม่ให้มีการเผชิญสืบ เพื่อตรวจสอบว่าข้าวหายหรือไม่ ทำไมจึงไม่ไต่สวนโดยการเผชิญสืบ
4.ภายหลังที่กรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดรัฐบาลปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบปริมาณข้าวในความครอบครองของหน่วยงานรัฐ โกดัง โรงสี ทั่วประเทศไม่พบว่าข้าวจำนวน 2 ล้านตัน ตามที่นายวิชาอ้าง แต่ข้าวจำนวนดังกล่าวกลับไปถูกอ้างในรายงานและสำนวน ป.ป.ช. โดยถือเป็นมูลค่าความเสียหายและผลขาดทุนทั้งที่ข้าวมิได้หายจริงเช่นนี้ ถือได้หรือไม่ว่ารายงานและสำนวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. อันเกี่ยวกับตัวเลขผลขาดทุนและความเสียหายยังไม่พิสูจน์ให้เป็นข้อยุติและไม่ถูกต้อง และเรื่องนี้ผู้ที่รับผิดชอบในความผิดพลาดที่ไม่ยอมบันทึกบัญชีคือ อนุกรรมการปิดบัญชีใช่หรือไม่ และส่วนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ถือว่าไม่ยอมไต่สวนเรื่องนี้ไห้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนที่จะชี้มูลความผิดทั้งที่มีข้อโต้แย้งจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช่หรือไม่
5.ก่อนความชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้โต้แย้งตัวเลขทางบัญชีของอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวว่าโครงการรับจำนำข้าวว่าไม่ถูกต้อง โดยโต้แย้งรายงานทั้ง ๓ ครั้ง ของอนุกรรมการปิดบัญชี ว่ามีความไม่ถูกต้อง และเสนอพยานบุคคลเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาแต่ กรรมการ ป.ป.ช. ไม่ยอมให้น.ส.ยิ่งลักษณ์นำพยานบุคคลเข้าหักล้างโดยตัดพยานบุคคล ใช่หรือไม่
6.ก่อนการชี้มูลความผิด ป.ป.ช.ไม่ใช้อำนาจของตนไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐรายในกระทรวงการคลัง เช่น ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นต้นว่า โครงการรับจำนำข้าวทำให้เสียวินัยการเงินการคลังและสร้างปัญหาหนี้สาธารณะ และเป็นภาระงบประมาณจนเกินสมควรจริงหรือไม่ ทั้งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้โต้แย้งและนำพยานเข้าสืบว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ทำให้เสียวินัยการเงินการคลัง ไม่สร้างปัญหาหนี้สาธารณะและไม่เป็นภาระงบประมาณจนเกินสมควร แต่กลับสรุปรายงานและสำนวนพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยปราศจากพยานหลักฐาน
7.ก่อนการชี้มูลความผิด ป.ป.ช. มิได้ไต่สวนในข้อเท็จจริงว่าโครงการรับจำนำข้าว ทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจากการรับจำนำข้าวเป็นจำนวนเท่าใด รวมทั้งไม่ไต่สวนว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว เป็นเท่าใดและชาวนาที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเป็นเท่าใด ในความเป็นจริง
8.ที่นายวิชาอ้างในเวลาแถลงเปิดคดีว่า ข้อมูลที่ ป.ป.ช. รับฟังชี้มูลความผิดมาจาก 3 แหล่งคือ 1.รายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชี 2.นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ3.นายระวี รุ่งเรือง ประธานเครือข่าวชาวนาไทย ขอถามว่าในชั้นไต่สวนก่อนการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะนำพยานบุคคลที่มีอาชีพทำนา และจะนำพยานบุคคลที่เป็นบริษัทผู้ส่งออก และซื้อขายข้าวอิสระมาหักล้างข้อกล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวมีความเหมาะสมและไม่เป็นการบิดเบือนกลไกราคาตลาด แต่ฝ่ายผู้กล่าวหาได้ตัดพยานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ใช่หรือไม่
9.ข้อกล่าวหาของป.ป.ช. ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์มิได้ระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตและระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวนั้น พยานหลักฐานอันเป็นพยานบุคคลและพยานเอกสารของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา ป.ป.ช. มิได้รวบรวมไว้ในความเห็นของป.ป.ช. ถึงข้อเท็จจริงที่รัฐบาลของผู้ถูกกล่าวหามิได้ละเว้นหรือละเลยในการป้องกันการทุจริตและป้องกันความเสียหาย นอกจากนี้ประเด็นเรื่อง ข้าวหาย หรือข้าวเสื่อมสภาพด้วยความบกพร่องของโรงสีหรือผู้เกี่ยวข้องในโครงการฯไม่ถือเป็นความเสียหายที่จะนำมาคำนวณ เพราะรัฐบาลได้มีสัญญาความรับผิดเอากับผู้ที่ทำข้าวหายหรือข้าวเสื่อมสภาพด้วยความบกพร่องไว้แล้ว แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ไต่สวนในเรื่องดังกล่าวใช่หรือไม่
10.สำนวน ป.ป.ช. ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่ และเกี่ยวข้องกับชาวนาจำนวนหลายล้านคน และมีขั้นตอนทั้งฝ่ายนโยบาย และฝ่ายปฏิบัติที่แยกออกจากกันอย่างชัดแจ้งแต่ป.ป.ช. กลับสอบพยานบุคคลเพียงจำนวน 7 ปากเท่านั้น คือ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี 2.นายวรงค์ เดชกิจวิกรม 3.นายวิชัย ศรีประเสริฐ 4.นายนิพนธ์ พัวพงศกร จาก TDRI 5.นายระวี รุ่งเรือง 6.นายประจักษ์ บุญยัง และ7.น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ใช่หรือไม่ ซึ่งพยานบุคคลหลายปากเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำไมไม่ไต่สวนข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานข้างต้น และพยานบุคคลที่เป็นกลางเพื่อชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและเพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านก่อนการชี้มูลความผิด
11.คดีนี้นับตั้งแต่ป.ป.ช. เป็นองค์คณะผู้ไต่สวนจนถึงวันชี้มูลความผิด ใช้ระยะเวลาเพียง 101 วัน ถามว่า ระยะเวลาเพียง 101 วัน ซึ่งรวมวันหยุดราชการด้วย เพราะมีเจตนา เร่งรีบ รวบรัด ใช่หรือไม่ หากเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ นอกจากนี้ขอถามว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในเวลานั้นมีผลตามกฎหมายผูกพันทุกองค์กรใช่หรือไม่ ดังนั้น เหตุใดป.ป.ช.กลับมีมติชี้มูลความผิดให้น.ส.ยิ่งลักษณ์
12.รัฐธรรมนูญ 2550 ได้บัญญัติ “เรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ออกต่างหากจาก “การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ไว้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งการพิจารณาคดีทั้ง 2 เรื่องไม่อาจนำคดีถอดถอน และคดีอาญามารวมพิจารณาเข้าด้วยกัน แต่คดีนี้กลับรวมคดีทั้ง 2 คำถามคือ เพราะเหตุใด ป.ป.ช. จึงมีมติให้นำคดีถอดถอนที่ฝ่ายค้านกล่าวหาไปรวมกับคดีอาญาของตน และเรื่องนี้ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาได้คัดค้านห้ามมิให้ป.ป.ช.รวมคดีใช่หรือไม่