เข็นรธน.ล้อมคอกโคตรโกง
บี้‘กิ๊ก-นอมินี’โชว์ทรัพย์สิน
เมื่อวันที่ 26 มกราคม พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ว่ากมธ.ยกร่างฯพิจารณาเสร็จแล้ว 120มาตรา ขณะนี้เข้าสู่พิจารณาหมวด2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ประเด็นสำคัญคือ มาตรา2 ว่าด้วยการกำหนดตำแหน่งผู้ดำรงตำแหน่ง ที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ พร้อมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือองค์กรตรวจสอบอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ จากเดิมแบ่งเป็น 7กลุ่ม ได้แก่ 1.นายกรัฐมนตรี 2.รัฐมนตรี 3.สส. 4.สว. 5.ข้าราชการการเมืองอื่นและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น 6.ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น 7.เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามกฎหมายบัญญัติ ทาง กมธ.ยกร่างฯได้เพิ่มอีก 1 กลุ่ม คือ กรรมการในองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปปช. ผู้ตรวจเงินแผ่นดินและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นต้น
‘กิ๊ก-นอมินี’ต้องแจ้งทรัพย์สิน
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในมาตรา 2 วรรคสอง ยังกำหนดเอกสารที่ต้องยื่นได้แก่ บัญชีทรัพย์และหนี้สิน สำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ พร้อมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งกมธ.ยกร่างฯได้ตัดถ้อยคำ “ผู้ซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยา” ออก แต่เพิ่มเนื้อหาต่อท้ายวรรคสองว่า “รวมทั้งผู้ซึ่งบุคคลตามวรรคหนึ่งได้มอบหมายให้ครอบครอง หรือดูแลทรัพย์สินของตนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม” ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาทางพฤตินัย แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ที่ถือทรัพย์สินของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินด้วย หากมีเจตนาปกปิดจะมีความผิด
กมธ.สั่งให้เปิดเผยภายใน30วัน
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวอีกว่า บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กรรมการในองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจในการตรวจสอบอำนาจรัฐ ส.ส.ส.ว.ให้เปิดเผยให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว แต่ต้องไม่เกิน 30วัน นับแต่วันครบกำหนดที่ต้องยื่นบัญชีดังกล่าว ส่วนบัญชีของผู้ดำรงตำแหน่งอื่นจะเปิดเผยได้ต่อเมื่อการเปิดเผยดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาพิพากษาคดี หรือการวินิจฉัยชี้ขาดและได้รับการร้องขอจากศาลหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ
ห้ามออกกม.เอื้อตัวเอง-พวกพ้อง
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการพิจารณาในส่วนที่2 การกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ในมาตรา1 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องไม่กระทำการที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม โดยอย่างน้อยต้องไม่ดำเนินการดังต่อไปนี้ (1)ไม่กำหนดนโยบาย หรือเสนอกฎหมาย หรือกฎซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกิจการที่ตน คู่สมรส บุตร หรือบิดามารดามีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ (2)ไม่นำความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ตนมีต่อบุคคลอื่นมาประกอบการใช้ดุลยพินิจในการปฎิบัติหน้าที่ให้เป็นคุณ หรือเป็นโทษแก่บุคคลนั้น (3)ไม่ใช้เวลาราชการ หรือหน่วยงาน เงิน ทรัพย์สิน บุคคลากร บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือข้อมูลภายในของราชการหรือหน่วยงานไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตนหรือผู้อื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตโดยกฎหมายหรือกฎ (4) ไม่กระทำการใด ดำรงตำแหน่งใด หรือปฎิบัติการใด ในฐานะส่วนตัว ซึ่งก่อให้เกิดความเคลือบแคลงว่าจะขัดต่อประโยชน์ส่วนรวมที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน้าที่ หรือเป็นที่เสื่อมเสียแก่ตำแหน่งหน้าที่
นายกฯ-รมต.ต้องไม่ยุ่งบ.เอกชน
โฆษก กมธ.ยกร่างฯ กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรา2 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้อง (1) ไม่ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด (2) ไม่ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น
ไม่เป็นคู่สัญญาภาครัฐ-ถือหุ้นสื่อ
(3)ไม่รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าวไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม (4) ไม่รับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ปฎิบัติต่อบุคคลอื่นๆในธุรกิจการงานตามปกติและ(5) ไม่กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา20 วรรค7 ที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้าไปถือหุ้นในสื่อและเป็นเจ้าของสื่อ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
นอกจากนี้ ในวรรค3 ให้นำความใน(3)(4)(5) มาบังคับใช้กับคู่สมรสและบุตร ซึ่งแก้ไขจาก คำว่า“บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ”มาเป็น“บุตรของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีและบุคคลอื่น”ซึ่งมีการตัดถ้อยคำ “มิใช่คู่สมรสและบุตรของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น” แต่เพิ่มถ้อยคำให้ครอบคลุมบุคคลที่จะเข้าข่ายมาตราดังกล่าว โดยใช้คำว่า บุคคลซึ่ง“ดำเนินการในลักษณะผู้ถูกใช้ ผู้ร่วมดำเนินการ ผู้ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ให้กระทำการตามมาตรานี้”
จ่อถกที่มาสส.สว.-อำนาจกกต.
ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างฯเปิดเผยว่า การประชุมกมธ.ยกร่างฯในวันที่ 27มกราคมนี้ จะเริ่มต้นพิจารณาหมวดตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบทบัญญัติการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา35(4) คือ มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันผู้กระทำการทุจริต หรือประพฤติมิชอบเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาเรื่ององค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรตรวจสอบอำนาจรัฐ โดยพิจารณาที่มา กกต.ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯจะพิจารณาว่า อำนาจจัดเลือกตั้งยังเป็นของ กกต.อยู่หรือไม่ หรือให้กระทรวงมหาดไทยจัดเลือกตั้ง รวมทั้งจะดูอำนาจของ กกต.จะต้องเชื่อมโยงกับศาลอุทธรณ์ โดยกรณีสั่งให้เลือกตั้งใหม่ให้เป็นอำนาจ กกต.แต่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งให้เป็นอำนาจศาลอุทธรณ์
‘สปช.’เบรกพรบ.ป้องกันทุจริต
วันเดียวกัน มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมพิจารณาวาระรับทราบความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่าง(กมธ.)รัฐธรรมนูญ โดยมี พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกกมธ.ยกร่างฯเป็นตัวแทนรายงานความคืบหน้าการยกร่างให้ที่ประชุมรับทราบ
จากนั้น จึงเข้าสู่ระเบียบวาระรับทราบความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เกี่ยวกับร่างพรบ.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ....ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดย นายเทียนฉาย กล่าวว่า สปช.เห็นชอบหลักการเกี่ยวกับการอนุมัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ว่าด้วยการต้านการทุจริตและมาตราที่ไม่เกี่ยวกับการอนุมัติตามอนุสัญญายูเอ็น เห็นควรให้ชะลอไว้ก่อนและพิจารณาอีกครั้งเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ผ่านรายงานวิสัยทัศน์ออกแบบปท.
ต่อมา จึงเข้าสู่วาระการพิจารณารายงานการจัดทำวิสัยทัศน์และออกแบบอนาคตประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และออกแบบอนาคตประเทศไทย นำเสนอต่อที่ประชุม โดยมีสาระสำคัญ 32ประเด็นปฏิรูปและ7หัวข้อพัฒนา อาทิ การป้องกันการทุจริต การปฏิรูประบบพรรคการเมือง กระบวนการยุติธรรมและปัญหาของประเทศ เป็นต้น ส่วนวาระการพัฒนา อาทิ เรื่องแรงงานข้ามชาติ การวิจัยนวัตกรรม การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงพื้นที่ ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายนาน 2ชั่วโมง ก่อนลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 197ต่อ2 งดออกเสียง 3คะแนน เพื่อส่งรายงานดังกล่าวให้คณะกรรมาธิการฯที่เกี่ยวข้องต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี