27 ม.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกว่า ศาลได้มีคำสั่ง คดีดำ อ.179/2558 กรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สว. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย รับมอบอำนาจจากนาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีต รองนายกฯ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม และ รมว.คมนาคม พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต อดีต รมช.คมนาคม และน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีต รมว.เทคโนโลยี ฯ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. อีก 4 คน ประกอบด้วยนายภักดี โพธิศิริ,นายประสาท พงษ์ศิวาภัย,นายวิชา มหาคุณ และ นายวิชัย วิวิตเสวี เป็นจำเลย รวม 5 คน ในความผิดฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83
โดยคำฟ้องระบุว่า เนื่องจากโจทก์ทั้ง 5 คน ถูกคณะกรรมการป.ป.ช. ซึ่งจำเลยทั้ง 5 คน ร่วมพิจารณาด้วย โดยมีมติตั้งข้อกล่าวหาว่า พวกโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเกี่ยวกับการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีต เลขาธิการ สมช. และอนุมัติโครงการจัดสรรน้ำ 2 ล้านล้านบาท ในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.กฎหมาย ให้กระทรวงการคลังกู้เงินการพัฒนาประเทศ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ผิดกฎหมาย และแจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบแล้ว
แต่โจทก์มาพบความจริงภายหลังว่า นายภักดี โพธิศิริ ขาดคุณสมบัติเนื่องจากไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการในบริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2549 ซึ่งนายภักดี จะต้องลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าว ภายในวันที่ 6 ต.ค. 2549 แต่โจทก์มาพบความจริงเป็นเอกสารที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่า นายภักดี พ้นจากการเป็นกรรมการในบริษัทดังกล่าวด้วยการยื่นใบลาออก เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2549 โจทก์จึงยื่นหนังสือต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช.ให้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของนายภักดีดังกล่าว
แต่ทางสำนักงาน ป.ป.ช.อ้างและแถลงต่อสื่อมวลชนว่า ไม่มีอำนาจพิจารณาคุณสมบัติของกรรมการด้วยกันเองและอ้างว่าวุฒิสภาเคยพิจารณาและมีมติเรื่องการขาดคุณสมบัติของนายภักดี ไปแล้ว ทั้งที่วุฒิสภาไม่เคยพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีบริษัท องค์การเภสัชกรรม-เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัดมาก่อนแต่อย่างใด การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ยอมพิจารณาคุณสมบัติของนายภักดี ทำให้โจทก์ต้องตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ที่มีนายภักดี เข้าร่วมดำเนินการประชุมและมีมติหลายครั้ง และโจทก์จะถูกฟ้องเป็นความอาญา การกระทำหรือการมีมติใดๆ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้โจทก์เสียหาย เสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาแก้ต่างคดี และพิพากษาลงโทษตามความผิดด้วย
อย่างไรก็ตามศาลพิเคราะห์คำฟ้องโดยละเอียดแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งห้าได้รับแต่งตั้งเป็น กรรมการ ป.ป.ช. ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ลงวันที่ 22 ก.ย.2549 โดยไม่ปรากฏจากคำฟ้องว่า ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องการขาดคุณสมบัติ และเพิกถอนการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ของนายภักดี โดยองค์กรที่มีอำนาจ ดังนั้นนายภักดีจึงยังคงมีสถานะเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ตามประกาศดังกล่าว สามารถเข้าร่วมประชุม และปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช.ได้
ส่วนที่โจทก์ฟ้องนายปานเทพ กับกรรมการ ป.ป.ช. อีก 3 คนที่เหลือ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่รู้เห็น ยินยอม และเป็นใจให้นายภักดี แสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ช.นั้น เมื่อคำฟ้องของพวกโจทก์ กล่าวหาว่า พวกจำเลย กระทำผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้นการฟ้องพวกโจทก์ จึงต้องดำเนินการตาม มาตรา17 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และตามมาตรา 9 (3) มาตรา 36 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 โดยให้ยื่นคำร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยเหตุผลดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์ทั้งห้า ในส่วนของนายภักดี จึงไม่มีมูล และศาลอาญาไม่มีอำนาจพิจารณาคดีที่โจทก์ทั้งห้า ฟ้องกรรมการป.ป.ช.ดังกล่าว จึงให้ยกคำฟ้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี