กมธ.ผุด7อรหันต์‘กจต.’
จัดเลือกตั้งสส.
ปลัดกระทรวงเลือกเอง
ให้กกต.คอยคุม-เฟ้นหาสว.
รัฐสภาถอดถอนนักการเมือง
เมื่อวันที่ 27 มกราคม พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า เป็นการพิจารณาต่อเนื่องในหมวด 2การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่2 การกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วนที่3การถอดถอนจากตำแหน่งและการตัดสิทธิทางการเมืองหรือสิทธิในการดำรงตำแหน่งอื่นและส่วนที่4 การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ให้รัฐสภาสอยทุจริต-ตัดสิทธิ์5ปี
โดยมีการกำหนดเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สส.,สว.,ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือถูกพลเมืองผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อร้องให้ถูกถอดถอนให้รัฐสภาอาจพิจารณามีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ กรณีให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งตัดสิทธิ์ผู้นั้น ในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือในการรับราชการ หรือดำรงตำแหน่งอื่นๆเป็นเวลา 5ปี นับแต่วันที่รัฐสภามีมติ ทั้งนี้ ให้ใช้สำหรับกรณีที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปก่อนแล้วด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนจากหลักการเดิมขอรับธรรมนูญปี50 ที่ให้การถอดถอนเป็นหน้าที่ของวุฒิสภา มาเป็นหน้าที่ของรัฐสภา
ศาลฎีกาฯเชือดโทษอาญาตามเดิม
ส่วนการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น กำหนดให้กรณีที่นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีสส., สว.หรือข้าราชการทางการเมือง ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ยังคงให้เป็นอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งให้กรณีดังกล่าวใช้บังคับกับบุคคลที่เป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน ผู้ให้ ผู้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์แก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าวด้วย
เปลี่ยนกติกาเลือกกกต.แบบใหม่
พล.อ.เลิศรัตน์ แถลงต่อว่า จากนั้นได้พิจารณาในส่วนขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เริ่มจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งพิจารณาในส่วนของการสรรหากกต.โดยกำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็น กกต.2 คนและอีก 3 คน มาจากคณะกรรมการสรรหาที่ประกอบด้วย กรรมการรวม 12 คน ซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ4 คน ที่เลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดอย่างละ 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คนที่เลือกโดยพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองฝ่ายรัฐบาล 1 คนและเลือกโดยพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองฝ่ายค้าน 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คน ที่เลือกโดยครม.ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คนที่เลือกโดยอธิการบดีในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คนที่เลือกโดยสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติและมติในการสรรหาต้องลงคะแนนโดยเปิดเผย
นั่งทำงาน6ปี-เป็นได้วาระเดียว
โดยผู้ที่จะได้รับการสรรหาเป็นกกต.ต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน3ของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เมื่อได้รับการสรรหาแล้ว กกต.จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปีและเป็นได้เพียงวาระเดียว ส่วนอำนาจหน้าที่ของ กกต.นั้น กำหนดให้มีอำนาจควบคุมการเลือกตั้งส.ส.และดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสว.ควบคุมการเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม วางกฎระเบียบทั้งหลายอันจำเป็นต่อการปฏิบัติการในการควบคุมการเลือกตั้ง วางระเบียบที่เกี่ยวกับข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ซึ่งร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ครม.และรัฐมนตรี โดยคำนึงถึงการรักษาประโยชน์ของรัฐ ความสุจริตเที่ยงธรรมเสมอภาคและโอกาสที่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้งสามารถสั่งให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.ซึ่งหมายรวมถึงการสั่งให้มีการสอบวินัย หรือออกนอกพื้นที่ หากพบว่า วางตัวไม่เป็นกลางในการเลือกตั้ง
สั่งสรรหาสว.ใหม่ได้-หากทุจริต
กำหนดมาตรการควบคุมการบริจาคเงินของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง รวมถึงการจ่ายเงินหรือรับเงินเพื่อประโยชน์ในการลงคะแนนเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง หรือเมื่อมีการกรณีการคัดค้านหรือมีเหตุอันเชื่อได้ว่า การเลือกตั้ง หรือการได้มาซึ่งสว.เป็นไปไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมายสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งใด หรือทุกหน่วยเลือกตั้ง หรือสั่งให้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่ง สว.เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อว่า การเลือกตั้งในหน่วยนั้นไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตประกาศผลการเลือกตั้งสส.ผู้บริการ สมาชิกสภาท้องถิ่น สว.ผลการออกเสียงประชามติและมีอำนาจในการยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี เพื่อให้สั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งผู้สมัครที่กระทำการใช้ หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต
ผุด’7กจต.’จัดเลือกตั้งสส.ทั่วไทย
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณามาตรา10 คือให้มีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง(กจต.) ประกอบด้วยผู้ทรงวุฒิ 7คน ที่มาจากการแต่งตั้งของปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการปลัดกระทรวงสาธารณสุขและผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยแต่งตั้งข้าราชการในแต่ละกระทรวง หรือสำนักงานที่ละ 1คน มาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง สส.,สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงการออกเสียงประชามติ
ไม่มีเลือกสว.-มอบกกต.ตั้งสเปก
ส่วนสมาชิกวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงเป็นหน้าที่ของ กกต.ดำเนินการเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การแต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้งในเรื่องอำนาจหน้าที่อย่างน้อยต้องประกอบด้วย อำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือระดับพื้นที่ ซึ่งต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้เป็นบุคลากรในภาครัฐรวมอยู่ด้วย คือ กจต.7คน จะมีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งในระดับจังหวัด มีเงื่อนไขว่า กจต.ระดับจังหวัดจะต้องไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมอยู่ด้วย ส่วนจะตั้งกี่คน ตั้งจากใครบ้างจะอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงหน้าที่ต่างๆ หน้าที่หลักของ กจต.จะรวมหน้าที่คือการกำหนดแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งประจำเขตการเลือกตั้งส.ส.เขตที่จะมีทั้งหมด 250เขต ใน กจต.จะรวมกับ กจต.จังหวัดแต่งตั้งกจต.ประจำเขต ของส.ส.แบบแบ่งเขต 250 เขตจะทำให้มีความหลากหลายในการแต่งตั้งเพราะปัญหาในการเลือกตั้งที่ให้โปร่งใสคือตัวบุคลากรที่เป็นปัจจัยสำคัญ
กรรมการประจำหน่วยมีล้านคน
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวอีกว่า จากนั้นผู้บริหารหรือผู้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งประจำเขต ก็จะไปกำหนดหน่วยเลือกตั้งและแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งประจำหน่วย ที่มีเป็นหมื่นๆหน่วยโดยแต่ละหน่วยจะมีเจ้าหน้าที่ ประจำ 9คน มีหน้าที่ในการดำเนินการให้มีการลงคะแนน นับคะแนน และส่งผลคะแนนให้ กกต.ไปประกาศผล ดังนั้นกระบวนการของกจต.จะเริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งบุคลากรในการจัดการเลือกตั้งทั่วไปจะมีประมาณ 1ล้านคน จะมาจากส่วนราชการที่เลือกมาเป็นกรรมการเป็นส่วนใหญ่ การกำหนดหน่วยเลือกตั้งจะจัดที่ไหน การจัดบุคคลลงไปประจำหน่วยและรวมถึงการรับสมัครการเลือกตั้ง เพราะส.ส.แบบแบ่งเขตจะต้องไปสมัครที่ผู้อำนวยการดำเนินการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
กกต.ยังดูแลงบกาบัตรตามเดิม
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า แม้จะมีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งเพิ่มมาอีก 1 คณะบนหลักการการแบ่งอำนาจเพื่อถ่วงดุล เพื่อให้ผู้จัดแยกออกจากผู้ควบคุมผู้กำกับ ผู้ตรวจสอบ แต่ กกต.ยังคงเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในเรื่องการดำเนินการให้มีการเลือกตั้งที่โปร่งใสทั้งการตรวจสอบ การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเลือกตั้ง สส.,สว.รวมถึงการประกาศผล การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ การพิจารณาว่า ผู้จัดการเลือกตั้งมีการกระทำอันไม่สุจริตก็ยังสามารรถตั้งกรรมการสอบวินัยรายงานผู้บังคับบัญชาได้ รวมถึงการยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาเพิกถอนสิทธิ์(ใบแดง) ส่วนงบประมาณจัดการเลือกตั้งจะจัดสรรไปที่ กกต.เพราะในส่วน กจต.จะใช้งบประมาณในเรื่องเบี้ยเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ในช่วง 1-2วันที่ทำงาน
คงใบเหลือง-ใบแดงยื่นศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตั้ง กจต. เท่ากับลดอำนาจ กกต.หรือไม่ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า เป็นการดุลอำนาจ โดยให้ กจต.เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง ส่วน กกต.เป็นผู้ควบคุมจัดการเลือกตั้ง ถือว่า กกต.มีอำนาจมากขึ้น งบประมาณจัดเลือกตั้ง 3,400 ล้านบาท ก็ยังอยู่กับ กกต.ทั้งยังให้อำนาจสั่งย้าย กจต.ออกจากเขตเลือกตั้งนั้นหากพบว่าเขตเลือกตั้งดังกล่าวมีการทุจริตเลือกตั้ง นอกจากนี้ กกต.ยังมีอำนาจการให้“ใบเหลือง”เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นกรณีที่จะให้ “ใบแดง” กกต.ต้องเป็น“ผู้ยื่นคำร้อง”ให้ศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาคเป็นผู้วินิจฉัย ส่วนสาเหตุที่ กมธ.ยกร่างฯ ตั้ง กจต.ขึ้นมา เพราะเห็นว่า กกต.มีภาระหน้าที่มากมายในการดำเนินการเกี่ยวกับคดีทุจริตการเลือกตั้ง การให้ใบเหลือง ใบแดง และการตั้ง กจต.ขึ้นมาก็จะทำให้ระบบการเลือกตั้งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สปช.ชงรบ.ตั้งกก.เยียวยาม็อบ
ด้าน นายบุญเลิศ คชายุทธเดช รองประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงหลังประชุมคณะกรรมการฯ ซึ่งมี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธานว่า ที่ประชุมได้เชิญเจ้าหน้าที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาให้ข้อมูลการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมืองรอบ 10ปี รวมถึงผู้อยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(กปปส.)
งานแรกเร่งประกันตัวผู้ถูกคุมขัง
โดยที่ประชุมเห็นว่า จะเสนอไปยังรัฐบาลให้ออกคำสั่งสำนักนายกฯตั้งคณะกรรมการเยียวยาดูแลและอำนวยความยุติธรรมผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อันเกี่ยวเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี2548-2557 ให้มีองค์ประกอบจากหลายฝ่ายและเป็นที่ยอมรับ เพื่อรวบรวมข้อมูลและดูว่า จะช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต่างๆเพื่อให้ได้รับการประกันตัว จากการหารือกันเห็นตรงกันว่า การเยียวยาและการอำนวยความยุติธรรมเป็นเรื่องสำคัญ อยากให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด จึงเห็นว่าผู้ที่มีความสะดวกและมีความพร้อม โดยเฉพาะสปช.ควรจะไปเยี่ยมเยียน แต่กรรมการบางส่วนจะได้ประสานเพื่อขอพบ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ประสานกับทางญาติของผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือโดยไม่เลือกสีและเลือกฝ่าย
เมษายนปรองดองเป็นรูปธรรม
นายบุญเลิศ กล่าวด้วยว่า กรรมการบางคนเห็นว่า เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่มีวันแห่งความรัก อาจจะจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีและในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นปีใหม่ไทย ทางคณะกรรมการฯจะเร่งทำงานเพื่อให้เกิดผลความปรองดองที่เป็นรูปธรรม จะติดต่อประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เช่น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อัยการสูงสุด ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกันตัวงผู้ที่ถูกดำเนินคดี รวมถึงประธานศาลฎีกา เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและนำไปสู่การอำนวยความยุติธรรมต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี