27 ม.ค. 58 ที่อาคารรัฐสภา พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงข่าวถึงความคืบหน้าในการทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ในวันนี้เป็นการพิจารณาต่อเนื่องในหมวด 2 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 2 การกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่วนที่ 3 การถอดถอนจากตำแหน่งและการตัดสิทธิทางการเมืองหรือสิทธิในการดำรงตำแหน่งอื่น และส่วนที่ 4 การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยมีการกำหนดเพิ่มเติมว่าในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส.ส. , ส.ว. , ประธานศาลฎีกา , ประธานศาลรัฐธรรมนูญ , ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ให้รัฐสภาอาจพิจารณามีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ในกรณีให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตัดสิทธิ์ผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือในการรับราชการ หรือดำรงตำแหน่งอื่นๆ เป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รัฐสภามีมติ ทั้งนี้ให้ใช้สำหรับกรณีที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปก่อนแล้วด้วย
ส่วนประเด็นการถอดถอนที่หากรัฐสภามีมติไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และส.ว. แล้วให้นำรายชื่อบุคคลที่ถูกร้องขอให้ถอดถอน ไปให้ประชาชนออกเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้งทั่วไป และหาเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ์มีมติให้ถอดถอน ให้ตัดสิทธิ์ผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งอื่นเป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันออกเสียงลงคะแนนนั้น ทางกรรมาธิการได้แขวนการพิจารณาไว้ก่อน ส่วนการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นกำหนดให้ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือ ข้าราชการทางการเมือง ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ยังคงให้เป็นอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งให้กรณีดังกล่าวใช้บังคับกับบุคคลที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ผู้ให้ ผู้ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์แก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าวด้วย
พล.อ.เลิศรัตน์ แถลงต่อว่า จากนั้นได้มีการพิจารณาในส่วนขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยเริ่มจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีการพิจารณาในส่วนของการสรรหา กกต. โดยกำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาสรรหา ผู้สมควรเป็น กกต. จำนวน 2 คน และอีก 3 คน มาจากคณะกรรมการสรรหาที่ประกอบไปด้วย กรรมการรวม 12 คน ซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน ที่เลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดอย่างละ 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ที่เลือกโดยพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองฝ่ายรัฐบาล 1 คน และเลือกโดยพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองฝ่ายค้าน 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 1 คน ที่เลือกโดย ครม. ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คนที่เลือกโดยอธิการบดีในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คนที่เลือกโดยสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ และมติในการสรรหาต้องลงคะแนนโดยเปิดเผยโดยผู้ที่จะได้รับการสรรหาเป็น กกต.ต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เมื่อได้รับการสรรหาแล้ว กกต.จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี และเป็นได้เพียงวาระเดียว
ส่วนอำนาจหน้าที่ขอ งกกต.นั้นมีการกำหนดให้มีอำนาจควบคุมการเลือกตั้ง ส.ส. และดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ว. ควบคุมการเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น สามารถสั่งให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติการสอบวินัยหรือออกนอกพื้นที่ หากพบว่าวางตัวไม่เป็นกลางในการเลือกตั้ง รวมถึงดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง และวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง หรือเมื่อมีการกรณีการคัดค้านหรือมีเหตุอันเชื่อได้ว่าการเลือกตั้ง หรือการได้มาซึ่งส.ว.เป็นไปไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งใด หรือทุกหน่วยเลือกตั้ง หรือสั่งให้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งส.ว. เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าการเลือกตั้งในหน่วยนั้นไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต และมีอำนาจในการยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี เพื่อให้สั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งผู้สมัครที่กระทำการใช้หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต
นอกจากนี้ พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้มีการพิจารณาในมาตรา 10 คือ ให้มีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) ประกอบด้วยผู้ทรงวุฒิ จำนวน 7 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยแต่งตั้งข้าราชการ ในแต่ละกระทรวงหรือสำนักงาน มาที่ละ 1 คน มาทำหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงการออกเสียงประชามติ
ส่วนสมาชิกวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงเป็นหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ กจต. 7 คนจะมีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งในระดับจังหวัด แต่มีเงื่อนไขว่า กจต.ระดับจังหวัด จะต้องไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมอยู่ด้วย ส่วนจะตั้งกี่คน ตั้งจากใครบ้าง จะอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมถึงหน้าที่ต่างๆ หน้าที่หลักของ กจต. จะรวมหน้าที่คือ การกำหนดแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งประจำเขตการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่จะมีทั้งหมด 250 เขต ใน กจต.จะรวมกับ กจต.จังหวัดแต่งตั้ง กจต.ประจำเขต ของส.ส.แบบแบ่งเขต 250 เขต จะทำให้มีความหลากหลายในการแต่งตั้ง เพราะปัญหาในการเลือกตั้งที่ให้โปร่งใส คือตัวบุคลากรที่เป็นปัจจัยสำคัญ
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวอีกว่า จากนั้นผู้บริหารหรือผู้ดำเนินการ จัดการเลือกตั้งประจำเขต ก็จะไปกำหนดหน่วยเลือกตั้งและแต่งตั้ง คณะกรรมการจัดการเลือกตั้งประจำหน่วย ที่มีเป็นหมื่นๆ หน่วยโดยแต่ละหน่วยจะมีเจ้าหน้าที่ ประจำ 9 คน มีหน้าที่ในการดำเนินการให้มีการลงคะแนน นับคะแนน และส่งผลคะแนนให้ กกต.ไปประกาศผล ดังนั้นกระบวนการของ กจต.จะเริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งบุคลากร ในการจัดการเลือกตั้งทั่วไปจะมีประมาณ 1 ล้านคน จะมาจากส่วนราชการที่เลือกมาเป็นกรรมการเป็นส่วนใหญ่ การกำหนดหน่วยเลือกตั้งจะจัดที่ไหน การจัดบุคคลลงไปประจำหน่วย และรวมถึงการรับสมัครการเลือกตั้ง เพราะ ส.ส.แบบแบ่งเขตจะต้องไปสมัครที่ผู้อำนวยการดำเนินการจัดการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจะมีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งเพิ่มมาอีก 1 คณะบนหลักการของการแบ่งอำนาจเพื่อถ่วงดุล เพื่อให้ ผู้จัดแยกออกจากผู้ควบคุม ผู้กำกับ ผู้ตรวจสอบ แต่ กกต. ยังคงเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในเรื่องการดำเนินการให้มีการเลือกตั้งที่โปร่งใส ทั้งการตรวจสอบ การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. รวมถึงการประกาศผล การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ การพิจารณาว่า ผู้จัดการเลือกตั้งมีการกระทำอันไม่สุจริต ก็ยังสามารรถตั้งกรรมการสอบวินัยรายงานผู้บังคับบัญชาได้ รวมถึงการยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาเพิกถอนสิทธิ์ (ใบแดง)
ส่วนงบประมาณจัดการเลือกตั้งจะจัดสรรไปที่ กกต. เพราะในส่วน กจต. จะใช้งบประมาณในเรื่องเบี้ยเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ในช่วง 1-2 วันที่ทำงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี