ยุบรวม‘กสม.-ผู้ตรวจฯ’
ตั้งชื่อใหม่
เป็น‘คณะผู้พิทักษ์สิทธิ’
กมธ.อ้างประหยัดงบฯ
ถกเดือด-ตั้งกก.ศึกษาฯ
กกต.ฉุนถูกหั่น-ขู่ออก
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 28 มกราคม ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีวาระ
พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราเป็นวันที่สิบเอ็ด โดยเข้าสู่การพิจารณาตอนที่ 4 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน(กสม.)ที่ประชุมมีการอภิปรายในประเด็นสัดส่วนเรื่องเพศของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกสม.ให้ชัดเจนว่า มีผู้ชายกี่คน และผู้หญิงกี่คนโดยที่ประชุมมีความเห็นแบ่งออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1.ให้บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2. บัญญัติไว้ในหมวดทั่วไปของรัฐธรรมนูญ 3. บัญญัติไว้ในหมวดของกรรมการสิทธิฯ เลย และ 4. ให้บันทึกไว้ในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมจึงได้สรุปให้ให้รอพิจารณาในประเด็นดังกล่าวไปก่อน
เปิดทางดึงเอ็นจีโอสรรหากสม.
ในส่วนของคณะกรรมการสรรหาและการคัดเลือกกสม.นั้น เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยที่ควรกำหนดให้กำหนดกสม.แตกต่างจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.)หรือองค์กรอื่นเนื่องจากเห็นว่า กรรมการสิทธิฯเป็นองค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างครอบคลุม จึงอยากให้มีคณะกรรมการสรรหาที่เป็นองค์กรเอกชน หรือ เอ็นจีโอ ที่จดทะเบียนขึ้นตรงกับรัฐ เพื่อเข้ามามีส่วนคัดเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่กสม.
แก้ไขไม่ให้ศาลยุ่งการสรรหา
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้มีคณะกรรมการสรรหา กสม.ตามมาตรา 8 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แต่ยังมีข้อท้วงติงว่าในส่วนของกรรมการสรรหาที่มาจากศาลนั้นควรพิจารณาแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามเจตนาของศาลที่ไม่ต้องการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสรรหากรรมการในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหากจะยึดบทบัญญัติใน พ.ร.บ.กสม. ควรปรับแก้ไขให้เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิฯ ที่ประชุม กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เห็นควรให้คงไว้ดังเดิม ตามรัฐธรรมนูญ 2550
ถกวุ่นยุบ’ผู้ตรวจฯ’ รวมกับกสม.
จากนั้นเป็นการพิจารณาตอนที่ 5 ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยที่ประชุมหารือถึงการคงอยู่ขององค์กรตามความเหมาะสม และจำเป็น ตามที่มาตรา 35 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 กำหนด โดยนำข้อมูลทางวิชาการของสถานบันพระปกเกล้า และความห็นภาค
ประชาชนที่เห็นว่าควรให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรวมเป็นองค์กรเดียวกันกับกสม.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ตั้งชื่อใหม่”คณะผู้พิทักษ์สิทธิ์”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้มีผู้สนับสนุนให้รวม 2 องค์กรดังกล่าวรวมกัน และเปลี่ยนชื่อเป็นคณะผู้พิทักษ์สิทธิ์ และมีจำนวนกรรมการ 9 - 11 คน โดยแบ่งหน้าที่การทำงานที่ชัดเจน เช่น ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสิทธิเด็ก ด้านสิทธิสตรี ด้านการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือพิทักษ์ความเป็นธรรมให้กับประชาชน แต่ลักษณะของการทำงานต้องเน้นในรูปแบบของคณะกรรมการที่ทำงานร่วมกัน ไม่แยก หรือแบ่งฝ่าย
กมธ.เสียงข้างน้อยเห็นแย้ง
ขณะที่อำนาจหน้าที่ให้คงไว้ตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องบัญญัติไว้ เพิ่มสิทธิ์ของประชาชนในการฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ทั้งนี้เพื่อให้เป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินด้วย อย่างไรก็ตามมี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ยังเห็นแย้ง เนื่องจาก กสม. และผู้ตรวจการแผ่นดิน มีกฎหมายที่แยกองค์กร และหน้าที่ที่ชัดเจนแต่ปัญหาที่ผ่านมา เพราะการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ควรมีการปฏิรูปการทำงานมากกว่าการยุบรวม
ให้กลับไปถาม2องค์กรก่อน
อย่างไรก็ตามจากการอภิปรายตลอดช่วงเช้าถึงช่วงเวลา 13.30 น. ที่ประชุมได้มีฉันทามติให้ควบรวม ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกสม.ไว้ด้วยกัน แต่มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย ทักท้วงว่า ไม่สามารถสรุปได้เช่นนั้น เพราะยังมีบุคคลที่คัดค้านอยู่ หากที่ประชุมได้ลงมติควบรวมองค์กร ขอให้จัดทำรูปแบบและโครงสร้างการทำงานให้พิจารณาก่อน นอกจากนั้นควรสอบถามไปยัง 2 องค์กรดังกล่าวก่อนที่ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ตัดสินใจ
สุดท้ายต้องแขวนตั้งกก.ศึกษา
ทั้งนี้มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอให้นำบทบัญญัติที่เกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดิน รอการพิจารณาไว้ก่อน เช่นเดียวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่ขอให้รอการพิจารณาไว้ก่อน เพื่อศึกษาข้อดี ข้อเสียของการควบรวม 2 องค์กรดังกล่าว โดยได้ตั้งคณะทำงาน 1 ชุด ที่ประกอบด้วย กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ และตัวแทนจากหน่วยงาน กสม. และผู้ตรวจการแผ่นดินมาพิจารณา โดยนำความเห็นของที่ประชุม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะควบรวม 2 องค์กรดังกล่าวไปประกอบการพิจารณา
เตรียมชงชี้ขาด29มกราคมนี้
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า สำหรับคณะทำงานศึกษา
แนวทางควบรวมกสม.กับผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น มีจำนวน 5 คนคือ 1.นายปกรณ์ ปรียา 2.นายเจษฎ์ โทณะวณิก 3.นางถวิลวดี บุรีกุล 4.น.ส.สุภัทรา นาคะผิว 5.นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ คาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จและเสนอเข้าที่ประชุมภายในวันที่ 29 มกราคมนี้
ประธานกกต.คาใจหั่นอำนาจ
ขณะที่นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. กล่าวถึงกรณีกมธ.ยกร่างฯ มีมติให้กกต.มีอำนาจเหลือเพียงควบคุมการเลือกตั้ง โดยจะแต่งตั้งให้คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง(กจต.) จำนวน 7 คนเข้ามาดูแลการเลือกตั้งแทนว่า เราต้องดูว่ากจต.มาจากการแต่งตั้งโดยปลัด 6 กระทรวง ผบ.ตร.1 คน ส่งตัวแทนเข้ามา แต่คนที่แต่งตั้งปลัดคือรัฐมนตรี
“เราก็ทราบอยู่แล้วว่าเป็นการเพิ่มอำนาจหรือลดอำนาจของกกต. ซึ่งเราไม่ทราบว่ากกต.ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องอย่างไร แต่การปฏิรูปเราต้องปฏิรูปให้ดีขึ้น กกต.ไม่ได้ห่วงอำนาจ ก่อนที่กมธ.ยกร่างฯ จะมีมติออกมาเราได้เสนอความคิดเห็นไปยังกมธ.ยกร่างฯก่อนแล้วแต่เขาคงมีธงอยู่แล้วหากเสนอไปอีกครั้งก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร”นายศุภชัย กล่าว
ขู่ถ้าทำงานไม่ได้ก็พร้อมลาออก
นายศุภชัย กล่าว่า หากกกต.ไม่ได้จัดการเลือกตั้งภาระก็จะไปอยู่ที่ กจต. ซึ่งเรามีอำนาจหน้าที่ควบคุมการจัดการเลือกตั้งเราคงมองเป็นเรื่องของการลดภาระแต่คงไม่คาดการณ์ล่วงหน้าว่าหากกจต.จัดการเลือกตั้งแล้วจะดีหรือไม่ดี และเราจะไม่วิจารณ์ว่าหากกจต.จัดการเลือกตั้งแล้วจะถูกการเมืองแทรกแซงหรือไม่ เพราะหากวิจารณ์ไปแล้วจะกระทบต่อหน่วยงานอื่น
“หากปรับอำนาจตามมติของกมธ.ยกร่างฯแล้ว เราไม่สามารถทำงานได้ เราก็ลาออก เพราะไม่อยากเปลืองภาษีของประชาชน เราไม่ยึดติดอยู่แล้ว อะไรทำแล้วส่งผลให้ได้คนดี สะอาด โปร่งใส่ เข้ามาบริหารประเทศ ถึงแม้เราเหนื่อยเราก็ต้องยอมหากประเทศชาติดีขึ้น และหากกจต.จัดเลือกตั้งแทนกกต.จริงๆ ก็คงต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง” นายศุภชัย กล่าว
“เทียนฉาย”จี้กมธ.โชว์ผลงาน
ที่รัฐสภา นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปช.ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานของประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ(วิปสปช.) และคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ แถลงภายหลังการประชุมว่า นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช.เห็นว่าเหลือเวลาในการทำงานจริงอยู่ประมาณ 6-9 เดือน จึงขอให้คณะกรรมาธิการทั้ง 18 คณะเร่งทำการปฏิรูปแต่ละด้านออกมาโดยด่วนภายในเดือนเมษายนนี้ผลงานจะต้องออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
‘วิษณุ’แนะดูฤกษ์ยามใช้รธน.ใหม่
ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต สมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้าได้จัดงานปาฐกถาพิเศษ ‘พระผู้ให้กำเนิดประชาธิปไตย’เพื่อเทิดพระเกียรติในวโรกาส 120 ปี แห่งพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ‘ประวัติของพระผู้ให้กำเนิดประชาธิปไตย’ตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ ไม่เคยมีฉบับไหนที่อายุยาวนานเท่ากับรัฐธรรมนูญที่พระราชทาน เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2475 ซึ่งเป็นฉบับแรกที่ใช้นานถึง 14 ปี ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับไหน มีอายุยาวนานเท่าฉบับดังกล่าว ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังร่างอยู่จะเป็นฉบับที่ 21 ตนจึงเห็นว่าต้องไปดูฤกษ์ให้ดีเพื่อให้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 21 มีอายุยาวกว่า 14 ปีให้ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี