ห้ามออกกม.พิเศษกู้เงิน
กมธ.คุมเข้มซิกแซ็กผลาญงบ
วิษณุ-กกต.จี้ทบทวนตั้ง‘กจต.’
เมื่อวันที่ 29 มกราคม มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ซึ่งเริ่มพิจารณาในภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง หมวด5 ว่าด้วยการคลังและการงบประมาณ
คุมเข้มใช้งบประมาณ-การคลัง
ต่อมา นายคำนูณ สิทธิสมานโฆษก กมธ.ยกร่างฯแถลงความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา ภาค2 ผู้นำทางการเมืองที่ดี หมวด5 การคลังและการงบประมาณ ว่า มีการเพิ่มหลักการที่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา 4 ประการ คือ 1.กำหนดให้การดำเนินนโยบายการคลังและงบประมาณของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล หลักประสิทธิภาพและคุ้มค่าหลักรักษาวินัยทางการคลังและหลักความเป็นธรรมในสังคม 2.กำหนดนิยามเงินแผ่นดินใหม่ โดยกำหนดให้เงินรายได้จากการดำเนินงาน หรือจากทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์อื่น ที่หน่วยงานของรัฐถือกรรมสิทธิ์หรือครอบครองและใช้จ่ายตามกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ โดยจำต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินการใช้จ่ายเงินแผ่นดินที่ไม่ได้ตราเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี หรือพ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม จะกระทำมิได้
รายได้ไม่ส่งรัฐต้องมีกม.ชัดเจน
การกำหนดให้เงินรายได้ใดไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินจะกระทำได้ก็แต่เมื่อมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายและการตรากฎหมายให้หน่วยงานของรัฐไม่ต้องนำเงินรายได้ส่งเป็นรายได้แผ่นดินและต้องมีการกำหนดขอบเขตและกรอบวงเงินเท่าที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังและต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินแผ่นดินและความจำเป็นในการใช้จ่ายของหน่วยงานของรัฐ 3.ระบบงบประมาณ 2 ขา โดยกำหนดให้ร่างพรบ.งบประมาณประจำปีและร่างพรบ.งบประมาณเพิ่มเติม ต้องแสดงงบประมาณรายรับและรายจ่ายประจำปี หรือเรียกว่าการจัดงบประมาณสองขา เปลี่ยนจากเดิมที่จะเป็นงบประมาณรายจ่ายเพียงอย่างเดียวและ4.การจัดสรรงบประมาณตามหน่วยงานภารกิจและพื้นที่
ห้ามออกกม.พิเศษเพื่อขอกู้เงิน
นายคำนูณ แถลงต่อว่า เหตุผลที่มีการนิยามคำว่า เงินแผ่นดินรวมถึงเงินกู้ด้วย เกิดจากบทเรียนของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งมีการออกกฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงินโดยไม่ผ่านพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยอ้างว่าเงินกู้ไม่ถือเป็นเงินแผ่นดิน ไม่จำเป็นต้องบัญญัติการใช้จ่ายในงบประมาณประจำปี จึงได้ออกกฎหมายพิเศษกู้เงินทำโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการไทยเข้มแข็งและพรก.กู้เงิน 2ล้านล้าน โดยไม่ผ่าน พรบ.งบประมาณประจำปี จนทำให้เกิดการฟ้องร้องการทำโครงการดังกล่าว เนื่องจากไม่มีรายละเอียดโครงการและทำให้โครงการสะดุด อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า เงินกู้คือเงินแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่มีคำนิยามที่ครอบคลุม จึงได้วางหลักการดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่ นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสังคายนากฎหมายการเงินการคลังภาครัฐทั้งระบบอีกด้วย ส่วนการทำนโยบายประชานิยม เราไม่ได้ห้ามทำ
‘วิษณุ’หนุนลดทอดอำนาจกกต.
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)แสดงความน้อยใจหลัง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง(กจต.) เข้ามาจัดการเลือกตั้ง สส.ว่า ที่ผ่านมา กกต.ไทยทำในรูปแบบเป็นผู้ควบคุมกติกา และแจกใบเหลือง ใบแดง ปรากฏว่ามีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ ตนไม่อยากบอกว่า กกต.ทำงานดีหรือบกพร่อง แต่ระบบนี้มีจุดอ่อนคือ เป็นการเอาอำนาจทั้งหมดมาอยู่ในองค์กรเดียว อาจมีปัญหาทำให้สังคมไม่ไว้วางใจ ไม่มีการถ่วงดุลกันเอง เพราะหาก กกต.ออกกติกาแล้วตัวเองเป็นฝ่ายปฏิบัติเอง จะหนีไม่พ้นถูกครหาว่ารวมอำนาจ ทำให้ขาดการตรวจสอบกันเองระหว่างส่วนกลางกับเจ้าหน้าที่
จี้ทบทวน’กจต.’คุมเลือกตั้งสส.
“รูปแบบ กจต.มีในบางประเทศ ผมคิดว่าพอไปได้ แต่ยังอยากจะฟังให้ชัดเจนว่าที่มาของ กจต.7คน มาจากไหน หากให้ปลัดกระทรวงแต่งตั้งอาจไม่เป็นที่ไว้วางใจ ที่สุดจะเป็นระบบราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงอยากจะขอให้คิดและออกแบบใหม่ ควรให้เป็นที่ไว้วางใจมากกว่านี้ ความจริง กมธ.ยกร่างฯ ควรออกมาอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า ไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องของ กกต.เพื่อไม่ให้เกิดความน้อยใจว่า ถูกลดอำนาจ แต่อย่าไปตำหนิกันว่า เพราะคุณเลวและแย่ เลยต้องปฏิรูป ความหมายของปฏิรูปคือทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่ของเดิมแย่” นายวิษณุ กล่าว
กกต.ชี้หลงทาง-ซื้อเสียงปมใหญ่
ขณะที่ นายประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม ให้สัมภาษณ์ในกรณีเดียวกันว่า รู้สึกผิดหวังกับแนวคิดของกมธ.ยกร่างฯชุดนี้ ทั้งที่ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ทำไมจึงมองโจทย์ประเทศไม่ออก ปัญหาการจัดการเลือกตั้งในประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่กกต.จัดเลือกตั้งไม่เรียบร้อย แต่ปัญหาแท้จริงอยู่ที่การซื้อสิทธิ์ขายเสียงที่มีอยู่ทุกหย่อมหญ้าและทุกระดับในการเลือกตั้ง ตั้งแต่ระดับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สส.และสว.
ตั้งองค์กรใหม่สิ้นเปลืองงบเปล่า
“มัวหลงทางสร้างองค์กรขึ้นมาใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ขอถามผ่านสื่อว่า ท่านสร้างองค์กร กจต.มาจัดเลือกตั้งแทน กกต.มันจะช่วยแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียงได้อย่างไร จึงขอให้ทบทวนใหม่ หาก กกต.มีจุดบกพร่องจุดใด กกต.พร้อมแก้ไข พร้อมช่วยแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง อย่ามัวถือทิฐิแล้วปล่อยให้ความคิดติดอยู่ในวังวนเป็นกระทงหลงทาง” นายประวิช กล่าว
กสม.ห่วงยุบควบรวมพัฒนาช้า
วันเดียวกัน มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่2 เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณารายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี2555และ2556 โดยมี นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เข้าชี้แจง ซึ่งสมาชิก สนช.ได้อภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย การชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา รวมถึงกรณี กมธ.ยกร่างฯมีมติให้รวม กสม.กับผู้ตรวจการแผ่นดิน
ซ้ำยังเสียเวลาต้องปรับทัพใหม่
โดยนางอมรา กล่าวว่า กสม.มีความกังวลใจต่อการยุบรวมองค์กร เพราะเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องใหญ่ของโลก ซึ่งไทยเป็นภาคีสมาชิกและเรายังเคยสมัครชิงตำแหน่งประธานขององค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ซึ่งทาง กสม.มีนโยบายที่จะปรับปรุงองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยตั้งเป้าหมายไว้ใน 1-2 ปีข้างหน้า การควบรวม 2องค์กร จึงมีผลต่อการปรับโครงสร้าง เป็นการลดฐานะองค์กร จะต้องเสียเวลาในการพัฒนาองค์กรใหม่อีก ซึ่งยอมรับว่าทุกคนตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้นและจะทำให้นานาประเทศเห็นว่า รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเหมือนที่ผ่านมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี