'สุรินทร์'จ้อเวทีครบรอบ7ปีสพม. ชี้ปชต.เกิดจากฐานปชช.เข้มแข็ง
วันศุกร์ ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558, 14.58 น.
Tag :
30 ม.ค. 58 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ สภาพัฒนาการเมือง(สพม.) จัดงาน "สภาพัฒนาการเมือง สร้างพลเมือง สู่สภาพลเมือง" เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาสภาพัฒนาการเมือง ครบรอบ 7 ปี และงานสมัชชาสภาพัฒนาการเมือง ประจำปีพ.ศ.2558 โดยนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาพิเศษเรื่องมุมมองประชาธิปไตย ตอนหนึ่งว่า 80 ปีในการพัฒนาประชาธิปไตยของเราเป็นไปด้วยปัญหา ส่วนหนึ่งเพราะความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคในทุกๆมิติของสังคมทั้งเรื่องรายได้ การศึกษา ความตื่นตัวการมีส่วนร่วม การให้บริการของรัฐ จึงเกิดปัญหาการเผชิญหน้าความตึงเครียดไม่ลงรอย การแย่งชิงโอกาสเพื่อชี้นำสังคม โอกาสในการกำหนดอนาคต ทุกสังคมรวมถึง 10 ประเทศในอาเซียนก็ต้องผ่านกระบวนการนี้ คือเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม บางประเทศยังไม่ได้คิดเริ่ม เพราะสภาพสถานการณ์ภายใน รูปแบบการปกครองประเทศของเขายังไม่พร้อม ประเทศไทยนั้นมีความตื่นตัวสูง ล้ำหน้าหลายประเทศ และมีความพยายามที่จะเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่เพราะเราต้องการจะมีส่วนร่วม และต้องการรู้ว่าชีวิตประจำวันในอนาคตของเราจะเป็นไปอย่างไร และต้องยกประโยชน์ให้ประธานที่ได้ริเริ่มผลักดันเรื่องนี้ จนโครงการเป็นที่ยอมรับและบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกมาเป็นพ.ร.บ.ให้มีสภานี้ และเป็นองค์กรที่ถือว่ามีรูปแบบเป็นทางการที่สุดในอาเซียน
นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีความตื่นตัวสูงมากและล้ำหน้าหลายประเทศ และมีความพยายามที่จะเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นจึงเป็นนิมิตหมายที่ดี สพม.เป็นองค์กรที่มีรูปแบบที่สุดในอาเซียน คนอื่นไม่มี อาจเป็นเพราะเขาแก้ปัญหาของเขาได้ แต่ของเราระหว่างการตื่นตัวในการเข้ามามีส่วนร่วม อาเซียนในแง่ของความมุ่งหวังและอุดมการณ์ประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชน มีจุดมุ่งหวังที่ต้องก้าวให้ถึง ทุกประเทศมีจังหวะเวลาไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วยึดมั่นในประชาธิปไตย อาเซียนไม่เหมือนอียู
ทั้งนี้ ปี 2510 ทุกประเทศในอาเซียนเป็นเมืองขึ้น ยกเว้นประเทศไทย และที่อาเซียนประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจเพราะรูปแบบรัฐที่มีอำนาจรวมศูนย์ และมีอำนาจรวบรัด ตัดสินใจและกำหนดทิศทางประเทศอย่างต่อเนื่องมีเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนสนใจ กลายเป็นจุดสนใจของประชาคมโลกในเรื่องการใช้อำนาจรวบรัดได้ ทำให้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ หยั่งยืนต่อเนื่อง หลายประเทศผ่านกระบวนการลักษณะเดียวกัน การพัฒนาต่อเนื่อง 4-5 ทศวรรษ ทำให้เกิดการกระจายในเรื่องของทรัพย์สิน การพัฒนาหลายด้าน โครงสร้างพื้นฐาน ความตื่นตัวในการอยากเข้ามาบริหารจัดการกำหนดทิศทางประเทศ แต่รูปแบบที่ต่างชาติบอกว่ามันง่ายในการย้ายฐานมาลงทุน รูปแบบการรวมศูนย์ไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โครงสร้างนั้นมันเริ่มที่จะล้าหลังและตอบปัญหาสังคมและประเทศนี้ไม่ได้ ปี 2544 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แลนด์สเคปในการเมืองไทย ที่คนต่างจังหวัดอยากเป็นผู้ร่วมกำหนด ออกมาในรูปของ 30 บาท กองทุนหมู่บ้าน เขียนสัญญาว่าเราจะเข้าไปปรับปรุงโครงสร้าง เพื่อทำให้มีความหมายยิ่งขึ้นในฐานะเจ้าของประเทศ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ในภาคเหนือภาคอีสาน ดังนั้นความไม่ให้โอกาส ให้พื้นที่ ซึ่งให้แต่การสั่งการ เป็นรูปแบบหนึ่งทุกตำแหน่งแต่งตั้งจากกรุงเทพฯ ทั้งหมดควบคุมโดยส่วนกลาง ทั้งหมดจะโอเคหากโปร่งใสในระบบและอยู่บนคุณธรรม และมีคุณภาพ แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นอำนาจในการแต่งตั้ง ย้ายให้ตำแหน่ง เริ่มไม่โปร่งใส ทุกจังหวัดข้าราชการหันหลังให้ประชาชนแล้วมุ่งหน้ามากรุงเทพฯเพื่อมาหาคนที่บันดาลให้ ฉะนั้น2544 ใครอ่านสัญญาณนี้ออก จะพูดได้ตรงเป้าว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเขารู้ปัญหาเรา ตอบสนองในสิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อเข้ามามีอำนาจในส่วนกลางภาษาในการบริหารจัดการมาเป็นของพรรค ทำให้เกิดความรู้สึกอัดอัดต้องเปลี่ยนปรับจึงมาสู่การลุกฮือ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
“ประเทศไทยมีของดีเยอะ ปัญหาคือการจัดการให้โปร่งใส รับผิดชอบ พร้อมลุกออกไปหากทำหน้าที่ไม่ได้ 67 ล้านคนต้องตื่นและตอบคำถามนี้ ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง เราไม่สามารถลืมฐานประชาชน แต่ฐานยังอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ยังต้องการความช่วยเหลือเพราะคุ้นกับการช่วยเหลือ ต้องการอุปถัมภ์เหมือนนั่งรถเข็นเดินสู่อนาคตและเวทีของการแข่งขัน มันไม่ใช่กีฬาที่ต้องอารี แต่คือการแข็งขันแย่งชิงโอกาส” นายสุรินทร์ กล่าว