ศาลนัด24กพ.
เลือกองค์คณะคดี‘ปู’
ชี้ชะตาก่อน19มีนาฯ
ทีมทนายถกสู้21กพ.
ความคืบหน้าหลังสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) นำสำนวนคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทางทีมทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์เตรียมหารือแนวทางสู้คดีทันที โดยนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังมีการส่งฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ของอสส.แล้ว ทางทีมทนายตกลงกันว่าจะเริ่มประชุมหารือแนวทางเตรียมความพร้อมต่อสู้คดี ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ แต่ยังไม่เชิญน.ส.ยิ่งลักษณ์มาร่วมประชุมด้วย เนื่องจากเป็นการเตรียมความพร้อมของทีมทนาย ก่อนสรุปแนวทางสู้คดีเสนอต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อไป
‘ยิ่งลักษณ์’ เก็บตัวเงียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายในซ.โยธินพัฒนา 3 เขตลาดพร้าว เป็นไปด้วยความเงียบเหงา แหล่งข่าวใกล้ชิดในพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า อดีตนายกฯ กลับจากเชียงใหม่ มาพักที่ กทม.แล้ว ซึ่งก็ยังไม่พบว่า อดีตนายกฯจะเดินทางไปไหน
มท.1ลั่นใครผิดโดนคดีไม่มีเว้น
ด้านพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวถึงกรณีอสส.สั่งฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ขณะนี้สังคมต้องเรียนรู้การดำเนินการทุกเรื่องต้องเป็นไปตามกฎหมาย แม้ว่าตนจะเป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าทำผิดกฎหมายหรือไปโกงใคร ก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน ดังนั้น ใครที่มีคดีความต้องถูกดำเนินคดีไม่มีข้อยกเว้น
“แม้แต่ผม อย่าโยงว่าเป็นบิ๊กป๊อกต่อให้ทำผิดก็ต้องโดน ใครทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว และยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกดดันให้เร่งรัดทำคดีดังกล่าว ขณะนี้เมื่อเรื่องอยู่ที่ศาลฎีกาฯ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม
โยนศาลฎีกาฯชี้ขาด“ปู”ไปนอก
ผู้สื่อข่าวถามถึงการอนุญาตเดินทางออกนอกประเทศของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่อสส.ระบุเป็นอำนาจการพิจารณาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เมื่อมีการส่งฟ้องคดีไปที่ศาลฎีกาฯ อำนาจการพิจารณาก็จะขึ้นอยู่กับทางศาล
เมื่อถามถึงรายงานความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม หรือมีคลื่นใต้น้ำในจังหวัดใดบ้างหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ยังไม่มี ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในจังหวัดใด ทั้งนี้ ถ้ามีกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวก่อกวน ทางหน่วยงานความมั่นคงจะเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของจังหวัด ทางผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงไปทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้สังคมสงบสุข ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
หนุนสู้คดีแนะอ้างรมต.เป็นพยาน
ขณะที่นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรื่องเดียวกันว่า ดีใจที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันสู้คดีนี้ตามกระบวนการยุติธรรม ในฐานะนักกฎหมายเห็นด้วยและสนับสนุนว่า เป็นแนวทางดีที่สุด ทุกข้อเท็จจริงที่ถกเถียงเรื่องโครงการจำนำข้าวท้ายที่สุดแล้วจะยุติโดยอำนาจตุลาการ ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะคดีนี้ใช้ระบบการไต่สวน ซึ่งจะมีกระบวนการรับฟังที่กว้างขวางมาก
ส่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทุจริตรับจำนำข้าวเลย ก็ต่อสู้ได้ว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ ไม่เคยทราบเรื่องทุจริตเลย ประเทศไม่เสียหาย สามารถอ้างพยานบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีดูแลเรื่องข้าวได้ ทั้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรมว.คลัง นายบุญทรง
เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรมช.พาณิชย์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรมว.แรงงาน ซึ่งคนเหล่านี้ต่อสู้ได้เต็มที่ แต่ถ้าทิ้งการต่อสู้ในข้อเท็จจริงและกฎหมายก็น่าเสียดาย
ตั้งกก.ปรองดองแห่งชาติ15คน
สำหรับความคืบหน้าการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อเวลา 09.30 น.วันเดียวกัน มีการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาในภาคที่4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง โดยเป็นการพิจารณาในหมวด2 การสร้างความปรองดอง โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังการพิจารณา ทั้งนี้ นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกมธ.ยกร่างฯกล่าวก่อนเข้าร่วมประชุมฯว่า วันนี้จะพิจารณาแบบลับในส่วนของในหมวด2 เรื่องการสร้างความปรองดอง โดยหารือถึงการสร้างกลไกในการปรองดอง
หลังการประชุมช่วงเย็น นายคำนูณ แถลงผลการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญ ในภาค4 หมวด 2การสร้างความปรองดอง ว่า กมธ.ยกร่างฯให้มีคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติประกอบด้วยคณะกรรมการไม่เกิน 15คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งไม่เป็นฝักฝ่ายทางการเมือง หรือความขัดแย้งและผู้ซึ่งเป็นผู้นำความขัดแย้งโดยวาระการดำรงตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ การดำเนินงานหน่วยธุรการและการอื่นที่จำเป็นให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติบัญญัติ ส่วนคุณสมบัติของคณะกรรมการอิสระปรองดองแห่งชาติ จะถูกกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลักเกณฑ์การสำนึกผิด แต่คณะกรรมการดังกล่าว จะเน้นเพื่อเป็นเวทีให้คู่ขัดแย้งได้พูดคุยกันเพื่อการสำนึกผิด อำนาจในการอภัยโทษยังคงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ต่อไป
มุ่งลดขัดแย้ง-สร้างสมานฉันท์
ส่วนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการปรองดองฯมี 9ประการ คือ1.ศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุแห่งความขัดแย้งความเสียหายที่เกิดขึ้นและเสนอแนวทางในการแก้ไขต่อ ครม.หรือรัฐสภาทั้งนี้ โดยพิจารณารายงานหรือผลการศึกษาที่องค์กรต่างๆ จัดทำขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.เสริมสร้างดำเนินการและประสานงานให้เกิดสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์และปรองดองในหมู่ประชาชนทั้งประเทศ ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้และใช้กระบวนการแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกันและสร้างเครือข่ายในการสร้างความปรองดองในภาคส่วนต่างๆ ให้มีกระบวนการสร้างความปรองดองเกิดขึ้น3.เป็นคนกลางในการประสานระหว่างผู้นำความขัดแย้งทุกกลุ่มเพื่อลดหรือยุติความขัดแย้งระหว่างกัน 4.รวบรวมข้อเท็จจริงและทำรายงานเกี่ยวกับความขัดแย้งการละเมิดกฎหมาย การละเมิดสิทธิมนุษยชนและผู้ที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้กระทำ ทั้งนี้ การจะเปิดเผยชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องหรือข้อมูลอื่นใดที่ทำให้ทราบได้ว่า เป็นผู้ใดไมได้เว้นแต่จะเป็นการเปิดเผยตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติ
เยียวยาสูญเสีย-อภัยโทษผู้สำนึกผิด
5.ให้มีการเยียวยาความเสียหายแก่ผู้เสียหายและครอบครัวรวมทั้งฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบ 6.เสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษแก่บุคคลซึ่งให้ความจริงอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การดำเนินงานและผู้กระทำ ซึ่งได้แสดงความสำนึกผิดต่อคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติแล้ว 7.ให้การศึกษาและเรียนรู้แก่สาธารณชนเพื่อให้ตระหนักถึงผลของความรุนแรงความเกลียดชัง รวมทั้งความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้สันติวิธีแก้ปัญหาความรุนแรง ตลอดจนสร้างความเตือนใจให้สังคมรำลึกถึงผลร้ายและความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อจะร่วมกันป้องกันมิให้เกิดเหตุดังกล่าวอีก 8.ส่งเสริมและเสนอแนะการปฏิรูปเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมโดยเคารพความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมและเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อเสนอต่อรัฐสภาและ9.ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติบัญญัติทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี รัฐสภาและหน่วยงานของรัฐต้องให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ
คงหมวดปรองดอง-แม้รธน.เสร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ที่ประชุมยังอภิปรายถึงความจำเป็นถึงการมีหมวดสร้างความปรองดองว่า จะบังคับใช้ได้ทันทีหรือไม่ โดยมีผู้แสดงความเห็นว่า หลังจากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ความไม่ปรองดองจะเกิดขึ้นทันที เพราะเห็นชัดว่า ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอยู่ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.แม้ท่านจะปฏิเสธว่า ตนเองไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่นับจากที่ พลอ.ประยุทธ์ เสนอควาเห็นเรื่องการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า คนที่ทำผิดก็ต้องได้รับโทษ เป็นการดึงตัวเองมาเป็นคู่ขัดแย้ง ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากการยึดอำนาจก็จะถูกตีความว่า เป็นรัฐธรรมนูญของ คสช.ก็อาจเป็นการปลุกระดมไม่ให้เกิดการยอมรับรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการมีอยู่ของคณะกรรมการปรองดองฯจะมีส่วนเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ได้
เขียนกม.ลูกให้สมานฉันท์ยั่งยืน
ขณะที่อำนาจหน้าที่ที่ประชุมพิจารณาในวงเล็บ3 ที่กำหนดว่า กรรมการอิสระจะทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประสานระหว่างผู้นำความขัดแย้งทุกกลุ่ม เพื่อลด หรือยุติความขัดแย้งระหว่างกัน การว่าการกำหนดเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเกี้ยเซี้ยของคู่ขัดแย้งและเกิดการต่อรองให้รับผิดและใช้การนิรโทษกรรมภายหลัง ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน แต่มีผู้ชี้แจงว่า การทำงานดังกล่าวเป็นการทำงานเฉพาะหน้าให้ยุติ แต่ที่วิจารณ์ว่า ไม่ใช่การปรองดอง หรือสมานฉันท์ยั่งยืน แต่ข้อเท็จจริงจะมีการกระบวนการปรองดองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งรายละเอียดจะเขียนไว้ในการกฎหมายลูก
‘สุรชัย’มอบข้อเสนอยกร่าง3เล่ม
ก่อนหน้านั้น เวลา 13.30น.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสามัญรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา34 วรรค2 ของรัฐธรรมนูญ ได้มอบข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นในการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ สมาชิก สนช.ได้อภิปรายในการประชุมเมื่อวันที่ 19กุมภาพันธ์ ให้กับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างฯเพื่อนำไปประกอบการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา หลักจากมีการยื่นไปในครั้งแรกเมื่อวันที่ 19ธันวาคมที่ผ่านมา
โดย นายสุรชัย แถลงว่า เอกสารข้อเสนอมีทั้งหมด 3เล่ม เป็นการรวบรวมความเห็นจากบรรดาเพื่อนสมาชิก โดยเล่มหนาเล่มแรกจะเป็นข้อมูลดิบที่ได้รวบรวมมา ส่วนเล่มที่2และ3เป็นเล่มบาง ที่รวบรวมประเด็นสำคัญเพื่อสะดวกต่อการใช้ โดยเล่ม 2 มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาค2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันทางการเมือง ในหมวด1ระบบผู้แทนที่ดีและผู้นำการเมืองที่ดีและหมวด 2
แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ขณะที่เล่ม3 มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาคที่4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง และภาค 2 หมวด3 รัฐสภาและหมวด4 คณะรัฐมนตรี ส่วนข้อเสนอความเห็นเกี่ยวกับการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะอยู่ในการรวบรวมความเห็นในรอบที่3
‘บวรศักดิ์’เปิดรับถึง22กรกฎา
ด้าน นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า จะนำความเห็นจากแหล่งต่างๆ เช่น สนช. สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) พรรคการเมืองและภาคประชาชน มาประกอบการพิจารณา โดยให้ฝ่ายเลขานุการสรุปความเห็นในแต่ละด้านต่อที่ประชุม ซึ่งเรื่องใดมีความเห็นไม่ตรงกันก็ให้มีการหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะลงพิจารณารายมาตรา ซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้รับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ มากกว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆมา โดยการรับฟังความเห็นจะสามารถส่งข้อเสนอเพื่อประกอบการพิจารณาได้จนกว่าร่างที่ปรับแก้ไขครั้งสุดท้ายจะเสร็จสิ้นวันที่ 22กรกฎาคมนี้
แนะแมน้ำ5สายเร่งคลอดกม.
นายบวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและสปช.อาจจะต้องจัดทำกฎหมายหลายฉบับ เพื่อส่งให้สนช.พิจารณาก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ ทั้งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกทั่วไป เช่น กฎหมายว่าด้วยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ขณะที่สปช.ก็มีการยกร่างกฎหมายองค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจ เพื่อสังคม กฎหมายสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ เมื่อกฎหมายเหล่านี้เข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ก็ขอให้เร่งพิจารณา เพราะหากรอให้มีรัฐบาลใหม่ ก็จะไม่เข้าใจและอาจเกิดความล่าช้าได้ ทั้งนี้อยากให้มีตัวแทนของสปช.,สนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมยกร่างด้วยเพื่อความรวดเร็วจากที่จะเริ่มต้นจากศูนย์ ก็จะเริ่มที่สิบ ซึ่งอยู่ที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.จะเห็นด้วยหรือไม่
‘บิ๊กตู่’วอนทุกฝ่ายเลิกขัดแย้ง
ต่อมาเวลา 20.15 น.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ’คืนความสุขให้คนในชาติ’ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า การเข้ามาบริหารประเทศของ คสช.และรัฐบาลเพื่อยุติความขัดแย้ง ปฏิรูปประเทศให้เดินหน้าพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน ขณะนี้เรื่องการปฏิรูปกำลังเดินหน้าอยู่ ในช่วงที่ต้องมีการแก้ไขในระยะที่2 ในเรื่องเร่งด่วนต่างๆ เราก็เดินหน้ามาโดยตลอด
ผิดหรือถูกทุกอย่างยึดตามกม.
ส่วนความคืบหน้าการร่างรับธรรมนูญฉบับถาวรนั้น ทั้งเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ การปรองดอง การนิรโทษกรรม การดำเนินการทางกฎหมายต่างๆ มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นอยากให้รัฐทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตนเข้าใจว่าทุกท่านหวังดีอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่ท่านต้องคำนึงถึงกติกาบ้าง คิดถึงกฎหมายด้วย หากเราพูดถึงเรื่องปรองดองอย่างเดียว เรื่องกฎหมายก็มีปัญหา ถ้าจะพูดถึงนิรโทษกรรมก็ต้องต่อมาจากกฎหมายเช่นเดียวกัน หากว่าจะปรองดองกัน อย่างแรกต้องลดการพูดจาให้ร้ายซึ่งกันและกัน ปล่อยให้ทุกอย่างเข้าสู่การกระบวนการ อย่าไปใช้ความชอบส่วนตัวมาเป็นเหตุเป็นผล แม้ว่าจะเป็นคนที่ท่านชอบ แต่ถ้าทำความผิด ก็ผิดอยู่ดี บางอย่างต้องสร้างบรรทัดฐานให้กับประเทศให้กับทุกคนที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าถูกก็ว่าไปตามถูก ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิด
นิรโทษ-ปรองดองว่าเป็นขั้นตอน
“หากว่าวันนี้ยังไม่ยอมรับผิดกันเลย หรือยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ผิดมาก ผิดน้อย ผิดแค่ไหน เจตนาไม่เจตนาอย่างไร ผมคิดว่า ยังเป็นปัญหาอยู่ทั้งสิ้น ฉะนั้นต้องนำกฎหมายมาดูและใช้หลักเกณฑ์ความเป็นธรรม ความชอบธรรม ความโปร่งใส การยอมรับเหล่านี้ คงต้องฝากหลายส่วนด้วยกัน ทั้งในส่วนภาครัฐ กระบวนการยุติธรรม เอกชนและประชาชนที่มีส่วนร่วม ก็ต้องไปหาทางกันมาว่า จะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบสุข อย่านำมาเกี่ยวพันกัน เรื่องของกฎหมาย เรื่องของนิรโทษฯ เรื่องปรองดอง เหล่านี้ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อย่ากล่าวหาทำแบบ2มาตรฐาน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า หากวันนี้เรามีความขัดแย้งมาก หรือกลับไปสู่ความขัดแย้งเก่าๆ สิ่งที่เราต้องเดินหน้าขณะนี้ก็ไปไม่ได้และไม่รู้ว่าจะเกิดประโยชน์กับใคร หลายฝ่ายต้องการสร้างความขัดแย้งเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มตัวเอง ฉะนั้นวันนี้เราเป็นคนไทยด้วยกันอย่าโกรธกันจนเกินไป หรือเกลียดกันจนกระทั่งให้อภัยกันไม่ได้ ฝากถึงทุกคนให้ช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรประเทศชาติจะปลอดภัย ประชาชนเป็นสุข ซึ่งตนมองว่าเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าประชาธิปไตยในเวลานี้ ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยก็เป็นไปตามโรดแมปทุกอย่าง ยังไม่มีอะไรผิดเพี้ยน วันนี้ต้องยอมรับในกติกากระบวนการยุติธรรม อย่ากล่าวอ้างกันว่า 2มาตรฐาน หรือว่าเร่งรัดเรื่องต่างๆก็ขึ้นอยู่กับคดี หลักฐานพร้อม หรือคดีใดก็ตามที่มีความเสียหายจำนวนมาก อันนี้เขาคงนำไปพิจารณาก่อน
ย้ำต้องปราบพวกทุจริตคอรัปชั่น
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการดำเนินคดีทุจริตคอร์รัปชั่นว่า วันนี้เราให้ดำเนินการให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส และเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม หลายคดีอาจมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก เช่น คดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สหกรณ์ยูเนี่ยน การทุจริตจัดซื้อจัดหา ก่อนวันที่ 22พฤษภาคม2557 มีอยู่หลายคดีด้วยกัน ซึ่งไม่อยากให้พี่น้องประชาชนติดตาม ไม่ควรไปเร่ง หรือไปตัดสินกันเสียก่อน ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย อย่าสร้างความสับสนและสร้างความเกลียดชังกันไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเรื่องการปราบอาชญากรรม ยาเสพติด ทุกคดีให้เป็นไปอย่างยุติธรรม ยึดกฎหมายเป็นหลัก ส่วนการดำเนินงานของส่วนราชการและเอกชนในโครงการต่างๆ ส่วนไหนที่ดำเนินการอยู่แล้วก้าวหน้าก็ทำต่อไป ให้เสร็จโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่รั่วไหล ใครมีข้อมูลนี้ขอให้ส่งมา จะสั่งให้ตรวจสอบทั้งหมด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี