24 ก.พ.58 ภายหลังจากที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติเลือกองค์คณะผู้พิจารณาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ครบ 9 คน ได้มีการนำประวัติการทำงานของท่านตุลาการองค์คณะทั้ง 9 มาเปิดเผยกันอย่างมากมาย ซึ่งอย่างน้อย 7 ใน 9 ตุลาการองค์คณะเคยผ่านการพิจารณาคดีที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่ายเป็นจำเลยมาแล้วแทบทั้งสิ้น ประกอบด้วย
นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา เป็นหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษา จากองค์คณะรวม 9 คน ในคดีหมายเลขแดง อม.30/2557 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินของ น.ส.นฤมล หรือ ณัฐกมล หรือ ณฐกมล หรือ อินทร์ริตา นนทะโชติ หรือ นนทะวัชรศิริโชติ ตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2557 จำนวน 68,104,000 บาท ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินที่ ป.ป.ช. ได้เคยมีคำสั่งอายัดไว้ชั่วคราวตามคำสั่งที่ 8-11/2556 ลงวันที่ 15 ม.ค. 2556 พร้อมดอกและผลให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดย น.ส.นฤมล เคยได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วย พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นผู้ช่วยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประมาณปี 2548 ทั้งนี้ คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นสำนวนให้อัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2556 เพื่อดำเนินการตามฟ้อง ซึ่งเป็นกรณีที่ ป.ป.ช. ตรวจสอบการยื่นบัญชีหนี้สินและทรัพย์สินของ น.ส.นฤมล ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายวิรุฬห์ แสงเทียน ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา เป็นผู้เข้ารับการอบรม บ.ย.ส.รุ่น 17 ปี 2555-56 โดยหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง บ.ย.ส. จัดโดยสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ขึ้นกับสำนักงานศาลยุติธรรม
นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดี พร้อมด้วยผู้พิพากษารวม 9 คน ได้มีคำสั่งประทับรับฟ้อง คดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1-4 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 295 และ 302 จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 รัฐบาลนายสมชายได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่ม พธม. ซึ่งศาลมีคำสั่งนัดพิจารณาครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 11 พ.ค.นี้
นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา ได้ร่วมองค์คณะพิพากษาให้ยกฟ้องคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร, นายวิชัย จึงรักเกียรติ อดีตผู้อำนวยการ.สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากรและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ, น.ส.สุจินดา แสงชมพู อดีตนิติกร 9, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตนิติกร 8และอดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และ น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ อดีตนิติกร 7 ว. เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 26 ก.พ.52 กรณีงดเว้นการคำนวณภาษีกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการโอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(มหาชน)หรือชินคอร์ป 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน เมื่อปี 2540
โดยนายชีพ ขณะนั้นเป็นอธิบดีศาลอาญา ได้ทำความเห็นแย้งความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาที่ พิพากษาให้ยกฟ้อง “นายศิโรตม์” กับพวก 5 คน คดีนี้ ทำให้อัยการต้องเป็นโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าว เพราะเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีบันทึกแย้งท้ายคำพิพากษาเช่นนี้ ถือว่า มีน้ำหนักมาก
นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา เป็น 1 ใน 9 องค์คณะพิจารณาคดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมกับ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ , นายศิริชัย วัฒนโยธิน ,นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา ,นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ และนายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้ง
นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งเเวดล้อมในศาลฎีกา เป็นผู้เข้ารับการอบรม บ.ย.ส.รุ่น 17 ปี 2555-2556 ตามประกาศในเว็บไซต์สำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง บ.ย.ส. จัดโดยสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ขึ้นกับสำนักงานศาลยุติธรรม
นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ช่วงหนึ่งของการเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว ปี 2549 หลังจากมีการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งขณะนั้นนายธานิศ ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ นายธานิศ ได้ร่วมพิจารณาพิพากษาคดียุบพรรคไทยรักไทยด้วย ขณะที่การทำหน้าที่ตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทยแม้ตุลาการรัฐธรรมนูญจะมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคการเมือง
แต่นายธานิศ เป็น 1 ใน 3 ตุลาการรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยว่าจะนำประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 มาย้อนหลังใช้บังคับเพื่อกำหนดโทษการตัดสิทธิ์การเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี และหลังจากทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ได้โอนย้ายกลับมาเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม และได้รับเลือกปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา เมื่อปี 2552และได้รับเลือกที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 7.6 หมื่นล้านบาท
นายธานิศนั้น มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้พิพากษา ถือเป็นปรมาจารย์ทางประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาผู้แต่งตำรา ป.วิอาญา และเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนติบัณฑิตยสภา เขียนคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานไว้ 86 คดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี