คดี “จำนำข้าว” เดินทางมาจุดไคลแม็กซ์อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ประชุมใหญ่ “ศาลฎีกา” จำนวน 170 คน ได้พิจารณาเลือก “องค์คณะผู้พิพากษา” ในศาลฎีกา เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 จาก “โครงการจำนำข้าว” ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
ผู้พิพากษาทั้ง 9 ราย ซึ่งจะกลายเป็นผู้ชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะ “หลุด หรือรอด” จากคดีดังกล่าวมี “ปูมหลัง” การตัดสินคดีดังๆ ที่น่าสนใจไม่น้อย ดังนี้
นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์
ธนสิทธ์ นิลกำแหง
1.นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา และ 2.นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา
ทั้ง 2 คน เป็นองค์คณะผู้พิพากษาจากองค์คณะรวม 9 คน ในคดีหมายเลขแดง อม.30/2557 ที่ตัดสินพิพากษาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2557 ให้ “ยึดทรัพย์” จำนวน 68,104,000 บาท ของ น.ส.นฤมล หรือณัฐกมลหรือณฐกมล หรืออินทร์ริตา นนทะโชติ หรือนนทะวัชรศิริโชติ อดีตข้าราชการการเมืองตำแหน่ง ประจำสำนักเลขาธิการนายก
รัฐมนตรี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดย น.ส.นฤมล เป็นบุตรสาว พล.อ.สัมฤทธิ์ นนทะโชติ อดีต ผบช.มณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ซึ่งเป็น “คนสนิท” ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี
วิรุฬห์ แสงเทียน
ธนฤกษ์ นิติเศรณี
3.นายวิรุฬห์ แสงเทียน ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา และ 4.นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา
เป็นองค์คณะผู้พิพากษาที่วินิจฉัยกรณีที่นายปุระพัฒน์วิเศษจินดาวัฒนา ผู้สมัคร สส.เขต 8 จ.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย จงใจปกปิดการยื่นเอกสารแสดงเงินกู้จำนวน 3.5 ล้านบาท เมื่อครั้งเป็น สส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน(พผ.) เมื่อปี 2551 โดยมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2554 “ห้าม” ไม่ให้นายปุระพัฒน์ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เป็นเวลา 5 ปี และยังมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ให้จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาทซึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี
ศิริชัย วัฒนโยธิน
5.นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา
เป็น 1 ใน 3 องค์คณะผู้พิพากษา ที่เคยมีคำพิพากษาฎีกาที่ 6374/2556 กรณีจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พูดใส่ความหมิ่นประมาทดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ในอดีตที่สวรรคตไปแล้ว โดยพิพากษาให้ยืนตามศาลชั้นต้นที่สั่งจำคุก 4 ปี แต่จำเลยรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดลงให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
ชีพ จุลมนต์
6.นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา
เป็นอดีตอธิบดีศาลผู้พิพากษาศาลอาญาที่สร้างประวัติศาสตร์ทำ “บันทึกแย้ง” ไม่เห็นด้วยต่อคำตัดสินขององค์คณะศาลอาญา ที่สั่งยกฟ้องนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากรกับพวก 5 คน ในคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ยอมเก็บภาษี “คุณหญิงพจมาน ชินวัตร” ที่โอนหุ้นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ “ชินคอร์ป”มูลค่า 738 ล้านบาท ให้กับนายบรรณพจน์ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม เมื่อปี 2540
การทำบันทึกความเห็นแย้งครั้งนั้นสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่จะมีการตรวจสอบกันเองของศาลในการพิพากษาคดี เพราะทำให้คู่ความและสาธารณชนเห็นว่า ระหว่าง “คำพิพากษา” กับ “บันทึกแย้ง” การใช้เหตุผลและตรรกะในทางกฎหมาย อย่างไหนดีกว่ากัน
วีระพล ตั้งสุวรรณ
7.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เคยเป็นหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่พิจารณาพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลยที่ 1, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด(มหาชน) กับพวก รวม 27 ราย เป็นจำเลย
ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502, ความผิด พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505, ความผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และความผิดพ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัดพ.ศ.2535
คดีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำตัดสิน ทั้งที่ได้รับทราบนัดแล้วจึงมีเหตุอันสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีคดีจึงให้ออก “หมายจับ” พ.ต.ท.ทักษิณ และให้จำหน่ายคดีเฉพาะในส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณออกจากสารบบชั่วคราว
ธานิศ เกศวพิทักษ์
8.นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกาได้ถูกเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นตุลาการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ ฉบับชั่วคราว ปี 2549 หลังจากมีการ “รัฐประหาร” ยึดอำนาจจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งนายธานิศได้ร่วมพิจารณาพิพากษา “คดียุบพรร8ไทยรักไทย” ด้วย ขณะที่การทำหน้าที่ตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทยแม้ตุลาการรัฐธรรมนูญจะมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคการเมือง
แต่นายธานิศ เป็น 1 ใน 3 ตุลาการรัฐธรรมนูญ “เสียงข้างน้อย” ที่ไม่เห็นด้วยว่าจะนำประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 มาย้อนหลังใช้บังคับเพื่อกำหนดโทษการตัดสิทธิ์การเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี
หลังจากทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว นายธานิศได้โอนย้ายกลับมาเป็นข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม และได้รับเลือกปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา เมื่อปี 2552 และได้รับเลือกที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ พิพากษาสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท
อุบลรัตน์ ลุยวิกกัย
9.นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
เป็นผู้เข้ารับการอบรม “บ.ย.ส.” รุ่น 17 ปี 2555-2556 พร้อมกับนายวิรุฬห์ แสงเทียน โดยเพื่อนร่วมรุ่นที่น่าสนใจอาทิ นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น, นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซิโน-ไทยเอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น เป็นต้น
ทั้งนี้ 5 ใน 9 องค์คณะผู้พิพากษาคดีจำนำข้าว ประกอบด้วย 1.นายวีระพลตั้งสุวรรณ 2.นายศิริชัย วัฒนโยธิน 3.นายชีพจุลมนต์ 4.นายธนฤกษ์ นิติเศรณี และ 5.นายธนสิทธิ์นิลกำแหง
ยังมีชื่ออยู่ในองค์คณะพิจารณาคดี “สลายชุมนุม” กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม2551 ในรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี