27 ก.พ.58 เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีนั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความมั่นคง ถ้ามีความมั่นคงสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพ ทั้งการเมือง ทั้งรัฐบาล ทั้งความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินนั้น เศรษฐกิจต่างๆก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ประเทศชาติก็มีความสุข โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้านเศรษฐกิจ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อนุมัติหลักการที่เสนอโดยคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช. ในการช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้สินของพี่น้องเกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) โดยมีพี่น้องเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 8 แสนรายทั่วประเทศ และยังอีกหลายโครงการ คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทที่จะช่วยกระตุ้นการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาขนส่งระบบรางว่า จะมีการพัฒนาคู่ขนานเพื่อเชื่อมโยงไทยกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค สร้างการเชื่อมต่อโดยให้เราเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างแท้จริง ทั้งในส่วนของทางคู่ 1 เมตร โครงการเร่งด่วน 6 เส้นทาง ระยะทางรวม 903 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีนี้ และโครงการระยะ ซึ่งจะดำเนินการศึกษาอีก 8 เส้นทาง สำหรับระบบรางขนาด 1.435เมตรนั้น ก็จะเป็นการพัฒนาโครงข่ายรถไฟที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐ โดยรัฐบาลไทยจะร่วมมือกับรัฐบาลประเทศต่างๆที่สนใจ อันได้แก่ เช่น จีน ญี่ปุ่น หรืออื่นๆ ในส่วนของเส้นทางรถไฟที่จะร่วมมือกันกับรัฐบาลจีน ขณะนี้ได้มีการหารือคณะทำงานร่วมไปแล้ว จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปีนี้ มีแผนจะให้แล้วเสร็จและเริ่มเดินรถได้ภายในปี 2561 สำหรับเส้นทางร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นกำลังอยู่ระหว่างร่วมกันทำการศึกษาแนวทาง ความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์และแนวทางการลงทุนร่วมกันอยู่
นายกฯกล่าวต่อว่า แนวคิดเส้นทางความเร็วสูงนั้นก็มีข้อเสนอของเอกชนไทย ที่อยากจะให้ประเทศมีความทันสมัย และเพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนเมือง ตนก็ได้ให้พิจารณาหาข้อมูล และหาข้อสรุป ทั้งเส้นทางระยะสั้น และเส้นทางที่มีประชาชนเดินทางคมนาคมจำนวนมาก เช่น กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง-อู่ตะเภา หรือ กรุงเทพฯ-หัวหิน ซึ่งก็อาจจะต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการดำเนินการ โดยแนวทางนั้นอาจเป็นในรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุน หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยจะเร่งพิจารณาให้เห็นผลชัดเจนในปีนี้นะครับ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 ด้วยว่า ในที่ประชุม ครม.ที่ผ่านมาได้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและฟังความเห็นประชาชนอันเป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นปัญหา ความขัดแย้ง เห็นไม่ตรงกัน ต้องนำมาพูดคุยหารือกัน และทำให้ได้ข้อยุติ โดยในเรื่องนี้ให้มีการแก้ไขกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อนจึงจะเปิดสัมปทานรอบต่อไป เชื่อว่าคงจะใช้เวลาไม่นาน ในส่วนการพูดคุยเจรจาของคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาโดยมีตัวแทนของภาครัฐและภาคประชาชนมาคุยกันนั้น จะถือว่าเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้ได้ข้อยุติ ไม่ใช่ขยายความขัดแย้ง ก็ขอให้พูดจากันให้ดีๆและแก้ไขกฎหมายให้เรียบร้อย
สำหรับความขัดแย้งในแวดวงศาสนานั้น นายกฯกล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ตนได้มอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ไปศึกษาทำความเข้าใจกับประเด็นปัญหา เรื่องใดที่เป็นการกระทำผิดข้อกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องระบบการเงิน การคลัง หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องของรัฐจะต้องดำเนินการ ปัจจุบันมีคดีความต่างๆที่ดำเนินการอยู่แล้ว ก็คงเป็นเรื่องที่เราต้องให้ทั้งสองฝ่ายดูแลไปพร้อมๆกัน อย่าไปก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความโปร่งใส คิดว่าทางฝ่ายคณะสงฆ์ก็ต้องยอมรับ แล้วก็ฝ่ายประชาชน ก็ต้องยอมรับในการพูดคุยหารือกันในเรื่องนี้ ก็มีองค์กรกำกับดูแลอยู่แล้ว
"ในส่วนของทางศาสนา ก็อาจจะต้องตั้งคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์มาช่วยดูแล ตอนนี้กำลังคิดอยู่นะครับ ก็จะได้ช่วยการทำงานของคณะสงฆ์เดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ ได้รับความเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญนะครับ เพราะเป็นศาสนาของประเทศ ขอความร่วมมือทุกพวกทุกฝ่าย ช่วยกันขจัดความขัดแย้งให้ได้ พูดจาหารือหาทางออกกัน ใครผิดก็ว่าไปนะครับ อย่าใช้กระแส อย่าใช้การชุมนุม อย่าใช้อะไรมาทำให้เกิดความวุ่นวายอีกก็แล้วกัน นะครับ ขอร้อง ขอร้องจริงๆ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ในเรื่องการดำเนินงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้พิจารณาร่างกฎหมายทั้งที่ คสช., ครม. และ สนช.เสนอเอง รวม 88 ฉบับ และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแล้ว เห็นควรประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป 63 ฉบับ ที่เหลือก็ยังคาอยู่ในการพิจารณาประมาณ 20 กว่าฉบับ แล้วก็ยังมีเตรียมการร่างกฎหมายเสนอเข้าไปใหม่อีก โดยจะเร่งรัดที่จำเป็นออกมาก่อน เพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติให้ได้ อย่าคิดว่าทำเพื่อปิดกั้นใคร ตนให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน ตนมาเพื่อหยุดความขัดแย้ง ให้ความเป็นธรรม ใช้หลักนิติธรรม ถ้าทำความผิดก็ต้องเข้ากระบวนการยุติธรรม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ความก้าวหน้าในการดำเนินงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีการตั้งคณะกรรมาธิการ 18 คณะ และส่งความคิดเห็นข้อเสนอแนะไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตนมองว่า สปช.มีความตั้งใจดี แต่วิธีการปฎิบัติก็จะเป็นเรื่องของ คสช.ที่จะดำเนินการ สำหรับกรอบการปฏิรูปมีการตั้ง 36วาระการปฏิรูป กับอีก 7 วาระการพัฒนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ สปช.ต้องคิดต่อจากสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ เป็นเรื่องการพัฒนาและเรื่องของอนาคต วันนี้จึงอยากให้ฟังรัฐบาลก่อน และไม่ควรเสนอสิ่งใดที่ขัดกับสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ด้วย
"หลายรายการหลายช่องยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งผมคงต้องเรียกมาพูดคุย ไม่ได้เป็นการปิดกั้นท่าน แต่เวลาเอานักวิชาการ หรือเอาใครไปพูดมันพูดคนละเรื่อง มันพูดในสิ่งที่ไม่ใช่ เป็นเรื่องของอนาคตด้วย พูดมันยังไม่ใช่ วันนี้ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันขับเคลื่อนประเทศดีกว่ามั้ง สร้างความปรองดองให้ได้ อะไรเป็นเรื่องของแต่ละพวก แต่ละฝ่าย ก็ปล่อยเขาทำไป ตอนท้ายสรุปมาว่ากันอีกทีอย่ามาตีกัน ได้ไหม?" นายกฯระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า จะได้ข้อยุติก็ราวเดือน ก.ย.นี้ ต้องผ่านการพิจารณาของ สปช. ครม. คสช.อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็อาจจะต้องรับฟังความคิดเห็นประชาชนเพิ่มเติมด้วย แต่ทุกอย่าง คสช. เป็นผู้ตัดสินใจ ทั้งนี้เราจะไม่ออกนอกกรอบของประชาธิปไตยจนเกินไป ทุกคนต้องเข้าใจว่า มันเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ ถ้าทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตย แล้วทุกอย่างกลับมาแบบเก่า แล้วจะทำทำไม ต้องยอมรับกันบ้าง ตนไม่ได้ไปปิดกั้นใคร กฎหมายก็คือกฎหมาย ผิดก็คือผิด
"ตอนนี้คณะกรรมาธิการฯรายงานว่าเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว กำลังพิจารณาเนื้อหารายมาตรา เหลือส่วนสำคัญในภาค 2 เกี่ยวกับผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี และเนื้อหาส่วนอื่นอีกเล็กน้อยนะครับ เมื่อเสร็จแล้ว ก็ สปช. ครม. และ คสช. ต้องดูอีกครั้ง ถ้ามีอะไรแก้ไข ก็ต้องส่งกลับไปอีกไปให้คณะกรรมาธิการ แก้ไขตามที่เห็นสมควร อันนี้เป็นขั้นตอนที่มันมีอยู่ตั้งหลายขั้นตอนนะ เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปเดือดร้อนมากนัก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการควบคุมราคาสินค้า วันนี้รัฐบาลทุ่มเทอย่างเต็มที่ ในการจะควบคุมดูแลราคาไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ รัฐมนตรี และข้าราชการก็ลงสำรวจตลาดด้วยตัวเอง จึงไม่ควรตำหนิกันให้มากเลย ทั้งภาคเอกชน ประชาชนก็อย่าเอารัดเอาเปรียบกันมากนัก ขณะนี้เศรษฐกิจก็ชะลอตัว ก็ควรจะต้องลดราคากันบ้าง ก็ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหลัก อย่าให้ต้องใช้กฎหมายทุกเรื่องเลย การจำหน่ายสินค้าราคาถูกตามชุมชน สถานที่ราชการ สำนักงานเอกชน ตลาดสด ตลาดชุมชน ช่วยกันทำ อย่ารอรัฐบาลอย่างเดียว เมื่อรัฐบาลริเริ่มไปแล้ว ภาคเอกชนก็ต้องทำบ้าง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า การขับเคลื่อนข้าราชการในแต่ละจังหวัดและท้องถิ่น ต้องขอร้องอย่าให้ตนต้องไปใช้อำนาจอะไรมากมาย ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนงาน แล้วก็ทุกกระทรวงทบวงกรมที่มีตัวแทนของทุกกระทรวงไปอยู่ที่จังหวัดด้วย ทุกคนต้องทุ่มเทเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ อย่าให้มีหนังสือเรียกร้องมา ถ้ามีตนจะสั่งสอบสวนพักราชการทันที ซึ่งเรื่องความเข้มแข็งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) วันนี้มีปัญหาทางเทคนิคและทางธุรการ เรื่องกฎระเบียบ ขั้นตอนต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป ก็อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการอบรมสัมมนาให้แก่ อบต. อบจ. กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน แต่การอบรมดูงานต่างประเทศยังไม่อยากให้ไป ไม่เกิดประถโยชน์ เว้นแต่ไปติดต่อราชการหรือไปประชุม ถ้าจะไปดูงานต่างประเทศจัดประชุมในประเทศไทย สัมมนาประเทศไทย แล้ว เชิญคนที่จะไปดู มาบรรยาย ใช้งบประมาณถูกกว่า ไว้วันหลังมีรัฐบาลเลือกตั้งแล้วค่อยไปดู
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี