วิปฯเพิ่งตื่นสั่ง50สนช.
เลิกจ้างลูก-เมีย
ยันไม่ผิด-ไม่กลัวฟ้อง
อ้างเพื่อโชว์‘สปิริต’
‘บิ๊กตู่’ลั่นหากจำเป็น
ก็ต้องปรับครม.ใหม่
‘กอบศักดิ์’เสียบกมธ.
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ใน 3กระทรวง คือกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรแสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ว่า ตนยังไม่ได้สั่งการให้ปรับอะไร วันนี้ก็ได้ให้กำลังใจ ครม.โดยได้ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับตน“ทราบว่าทุกคนเต็มที่ในการขับเคลื่อน ซึ่งวันนี้ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทุกคนมีกำลังใจในการทำงานและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เราใช้เวลามา 8เดือน วันนี้ทุกคนจึงต้องทำงานเชิงรุก ซึ่งเข้าใจว่าเหนื่อย และทุกคนก็ไม่ได้อะไร ผมเองก็ไม่ได้อะไร”นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงใดต้องปรับ หรือเสริมเป็นพิเศษ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกคนก็ต้องช่วยกัน หากไปดูโพลสำรวจความคิดเห็น ฝ่ายความั่นคงอาจมีคะแนนดี เพราะมีการจัดระเบียบ เหตุการณ์ความรุนแรงลดลง แต่คะแนนฝ่ายเศรษฐกิจ หรือกระทรวงพาณิชย์อาจจะน้อย เพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง
แบไต๋ถ้าจำเป็นก็ต้องปรับครม.
“แต่ขอร้องหากพูดกันว่า แย่ทุกวัน มันก็จะแย่ตามปาก เพราะประชาชนตื่นตระหนก ไม่กล้าใช้เงิน ซึ่งวันนี้มีการปรับการทำงานใหม่ โดยให้ไปดูว่า อุตสาหกรรมประเภทใดที่ต้องส่งเสริมโดยเร็ว เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสร้างสินค้าใหม่ๆออกไป “พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าวันนี้ปิดตายการปรับ ครม.เลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ทำไมต้องถามผมอย่างนั้น หากจำเป็นก็ทำ”
ตะลึง”บิ๊กตู่”แว้นโชว์นักข่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไปเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชนของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษา ที่มาเปิดจุดให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ และซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หน้าตึกบัญชาการ1 จากนั้นนายกฯได้ขี่รถจักรยายนต์ที่มีการนำมาเข้ารับบริการจากหน้าตึกบัญชาการ1 วนขึ้นไปบนตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนจะกลับมาที่ตึกบัญชาการ1 เพื่อเข้าร่วมการประชุมครม.สร้างความฮือฮาให้กับสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก
3รมต.สายทหารปัดปรับครม.
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า ได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์และตัดสินใจจะปรับครม.บางกระทรวงในเดือน มีนาคมนี้ โดย พล.อ.ประวิตร ได้แต่โบกมือและตอบเพียงว่า ไม่มีๆ พร้อมเอ่ยว่า “จะรีบไปประชุม” ก่อนจะรีบขึ้นรถออกไปจากทำเนียบรัฐบาล
ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่มีชื่อเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่อาจถูกปรับเปลี่ยน ว่า ไม่รู้ข่าวดังกล่าวออกมาได้อย่างไร ไม่เห็น พล.อ.ประยุทธ์ พูดอะไรถึงเรื่องนี้ เห็นแต่ข่าวในหนังสือพิมพ์เท่านั้น อย่างไรก็ตามยืนยันว่า ยังตั้งใจทำงานต่อไปตามภาระหน้าที่ที่มีอยู่เพื่อประเทศชาติ เพราะเรารู้ว่าสภาวะที่เข้ามาทำงานก็เพื่อประเทศ
“สุรศักดิ์”ไม่หวั่นยันทำงานเต็มที่
เช่นเดียวกับ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน กล่าวว่า เพิ่งรู้เรื่องนี้จากสื่อว่า ตนอาจถูกปรับพ้น ครม.เพราะผลงานไม่เข้าตา แต่ไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ โดยในที่ประชุม ครม.พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ไม่มีการปรับครม. และที่ผ่านมาช่วง 7 เดือน ตนทำงานเต็มที่คนที่มองว่า ไม่มีผลงานนั้น มองระยะสั้นเพราะงานกระทรวงแรงงานต้องใช้เวลาดำเนินการจึงเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ถ้าจะปรับออกจริง ๆก็ไม่มีปัญหาเพราะเขาเชิญให้มาทำงาน
‘อำนวย’แล้วแต่นายกฯตัดสิน
นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า ไม่มี ตนไม่ทราบ เมื่อถามว่าปัญหาในกระทรวงเกษตรฯโดยเฉพาะเรื่องยางเป็นจุดทำให้เกิดการปรับหรือไม่ นายอำนวย กล่าวว่า ความจริงเรื่องยางก็รู้ๆกันอยู่ว่า ปัญหามันเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม การปรับครม.หรือไม่ อำนาจอยู่ที่นายกฯ รัฐมนตรีทุกคนต้องพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง สำหรับตนมั่นใจในงานที่ทำอยู่
เผยยกร่างรธน.ใกล้เสร็จแล้ว
ต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ยังให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการติดตามการยกร่างรัฐธรรมนูญว่าเดินหน้าไปแล้วหลายหมวด ทราบว่าใกล้จะจบแล้ว ซึ่งตนก็ติดตามดูมาตลอด เอาง่ายๆว่าทั้งหมดยังไม่ได้ข้อยุติเลย แม้แต่เรื่องเลือกตั้งก็ยังไม่ได้ข้อยุติอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มาที่ไปของสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ก็คงจะคุยกันต่อว่า มีอะไรที่เพิ่มขึ้นบ้าง หรือปรับอะไรกันบ้าง
ย้ำไม่เคยไปแทรกแซงร่างรธน.
“แต่ยืนยันอย่างหนึ่งว่า วันนี้ สิ่งที่เราต้องการ ผมยังไม่ได้กำหนดอะไรเข้ามาเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เขาคิดกันขึ้นมาและเท่าที่ผมวิเคราะห์ก็คงมาจากเรื่องความหวังดีจากสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตว่า ควรจะต้องแก้ไขอย่างไร ผมก็บอกไปแล้วว่าเดี๋ยวจะมาดูให้อีกทีหนึ่งว่า ถ้าคิดแค่มุมเดียวก็จะถูกมองไปอีกอย่างหรือเปล่า แต่อย่าลืมว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯคนนอกแค่ขัดตาทัพ
เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่มาของนายกฯที่จะนำคนนอกเข้ามาดำรงตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยู่ดีๆจะเอานายกฯคนนอกเข้ามา ถ้าปกติเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว จะต้องเข้ามาด้วยกระบวนการคัดสรรจากสภาผู้แทนราษฎร ทางกมธ.ยกร่างฯจึงยกร่างอย่างนั้นจะได้ไม่มีการมาอ้างขอนายกฯ มาตรา7ว่า ทำได้หรือไม่ เถียงกันไม่จบไม่สิ้น บริหารประเทศไม่ได้ ถ้าเกิดมีปัญหาก็จะต้องหานายกฯ คนนอกเข้ามาเพื่อขัดตาทัพแล้วเดินหน้าประเทศไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาตรงนี้
เลือกตั้งได้แน่ถ้าไม่ขัดแย้งอีก
เมื่อถามว่า หมายความว่า เมื่อเรื่องมาถึงนายกฯและครม.อาจจะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ต้องไปหารือร่วมกันในจุดต่างๆว่า ต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนบ้าง สำหรับตนไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ต้องการเพียงให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า ดังนั้น 1.ทุกคนจะต้องถามตัวเองว่าจะเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง นี่คือประเด็นสำคัญ 2.ถ้าจะเลือกตั้งแล้วจะเลือกกันอย่างไร 3.ทำอย่างไรจะไม่มีความขัดแย้งและ4.ทำอย่างไรจะไม่เกิดปัญหาในวันข้างหน้าอีก ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือระวังทหารจะเข้ามา
ย้ำไม่ทะเลาะกันทหารไม่ออกมา
‘ทุกคนอยากให้มีการเลือกตั้ง แต่ถึงเวลาตีกันเยอะๆก็จะไม่เลือกกันอีกแล้วจะทำอย่างไรกัน ยืนยันว่าผมไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ใครทั้งนั้น ไม่มีใครอยากสักคน เดี๋ยวก็จะมากล่าวหากันว่า ไม่อยากแล้วเข้ามาทำไม ก็ต้องตอบว่า ก็มันตีกันทำไมเล่า ถ้ามันไม่มีตีกันใครจะเข้ามา เดินหน้าประเทศไม่ได้ แล้วใครจะทำ ถ้าทำได้ ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งอยู่แล้ว’ นายกฯกล่าว
‘ทิชา’แถลงเปิดใจปมไขก๊อก
ที่รัฐสภา เวลา 09.30น.นางทิชา ณ นคร อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และอดีตกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงข่าวเปิดใจถึงการลาออกจากการเป็นสมาชิก สปช.และกมธ.ยกร่างฯว่า ตนในฐานะอดีตกรรมาธิการเสียงข้างน้อยหมดศรัทธาที่จะสื่อสารกับกรรมาธิการเสียงข้างมากในประเด็นการเพิ่มพื้นที่ทางการเมืองให้กับเพศหญิง ทั้งในระบบบัญชีรายชื่อและสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า1ใน3 เพื่อมุ่งหวังเปิดพื้นที่ให้เพศหญิงเข้าไปร่วมขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความสมดุล โดยการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะถนนสู่การเมืองถูกออกแบบโดยผู้ชายเพื่อผู้ชายมาอย่างยาวนาน ด้วยโลกทัศน์และมุมมองที่แตกต่างกัน ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญประเด็นดังกล่าวนั้น ต้องจบด้วยการแขวนไม่ต่ำกว่า 3ครั้ง
อุดมการณ์ไม่เดินหน้าจะอยู่ทำไม
ผู้สื่อข่าวถามว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ การลาออกไปเป็นการด่วนตัดสินใจหรือไม่ นางทิชากล่าวว่า คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลาจะรู้ว่า หลายเรื่องซ้ำ วนไปวนมา หาทางออกไม่เจอ เมื่อถามต่อว่า กรณีสัดส่วนหญิงชาย นายกฯ บอกไว้ว่า หญิงชายมีสิทธิเท่าเทียมกัน นางทิชากล่าวว่า จริงๆ แล้วเราก็พูดกันโดยทั่วไปว่า ชายหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ทั้งหมดนี้เป็นการพูดขบขัน เมื่อมาถึงจุดที่ต้องมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นทางการเมือง ประโยชน์สาธารณะ เสียงของผู้หญิงก็หายไปในสายลม ส่วนตัวไม่ขัดแย้งกับใคร แต่เรามีจุดยืนเป็นตัวของตัวเอง ต้องนำพาประเด็นที่เราห่วงใยและมีความหมายติดตัวเราไปด้วย ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องทบทวนการเดินทางของเรา
สปช.4รายลงชิงเก้าอี้แทน’ทิชา’
บ่ายวันเดียวกัน มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคลเข้าทำหน้าที่ กมธ.ยกร่างฯแทน นางทิชา ณ นคร ที่ลาออกไป โดยมีสมาชิกเสนอรายชื่อ 4คน ซึ่งประธานในที่ประชุมให้แสดงวิสัยทัศน์คนละไม่เกิน 3นาที เริ่มจาก นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล แสดงวิสัยทัศน์ว่า ต้องการร่างรัฐธรรมนูญให้ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ เพื่อความเป็นอยู่และปากท้องของประชาชนทั้งประเทศ ด้าน นางศิรินา ปวโรฬารวิทยา กล่าวว่า ต้องการบูรณาการการปฏิรูปประเทศควบคู่กับการทำงานของกรรมาธิการทั้ง 18คณะและการร่างรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างแท้จริง
ขณะที่นางจุไรรัตน์ จุลจักรวัฒน์ แสดงวิสัยทัศน์ว่า ตนมีกรอบความคิด เรื่องความเสมอภาคทางเพศและต้องการร่างรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้ได้จริงกับสังคมไทย ยืนยันว่าตนปราศจากการครอบงำจากฝ่ายต่างๆ ส่วน นายอมร วาณิชวิวัตร กล่าวว่า ตนเน้นการทำงานที่มุ่งประโยชน์สาธารณะ ประสานงานให้แม่น้ำทุกสายทำงานร่วมกันให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
‘กอบศักดิ์’เข้าวิน-ได้119เสียง
จากนั้นที่ประชุมให้สมาชิกลงคะแนนลับ ซึ่งผลลงคะแนนปรากฎว่า นายกอบศักดิ์ ได้รับเลือกให้ กมธ.ยกร่างฯ แทน นางทิชา ด้วยคะแนน 119เสียง ส่วนผู้สมัครที่เหลือ 3 คน มีคะแนนเรียงลำดับดังนี้ นางจุไรรัตน์ 67 เสียง นางศิรินา 26 เสียงและนายอมร ได้ 8 เสียง มีบัตรเสีย 9ใบ
ร้องไต่สวนสนช.ปมตั้ง“ลูก-เมีย”
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการปปช.ขอให้ไต่สวนสมาชิกสนช. กว่า 50 คน กรณีกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและขัดแย้งต่อจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรงจากการเสนอชื่อเมีย-ลูก- เครือญาติเข้ารับการแต่งตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการและผู้ช่วยงานประจำตัวสมาชิก สนช.
ถ้าผิดให้ส่งศาล-เรียกเงินเดือนคืน
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หากไต่สวนแล้วพบความผิด ปปช.มีอำนาจนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อฟ้องร้องบุคคลเหล่านี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งเรียกคืนเงินประจำตำแหน่งของผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญการ ผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว สนช.พร้อมขอให้สนช.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมโดยเร็วและควรมีข้อสรุปใน1เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เครือญาติเหล่านี้ควรจะลาออกจากตำแหน่งผู้ชำนาญการต่างๆ เพื่อแสดงสปิริตหรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เป็นจิตสำนึกของแต่ละคนที่จะกระทำหรือไม่ เพราะรู้อยู่แล้วตัวเองเข้ามาทำงานตามวัตถุประสงค์หรือไม่ การอ้างเรื่องคนที่ไว้วางใจนั้น คิดว่าบุคคลที่มีความรู้ความสามารถหรือสนิทชิดเชื้อน่าจะมีจำนวนมาก ไม่ใช่มีเฉพาะเครือญาติของตัวเอง
ปปช.ชิ่งโยนผู้ตรวจการแผ่นดินสอบ
ด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ปปช.กล่าวว่า เราคงต้องดูในรายละเอียดว่าเหตุที่จะยื่นนี้ อยู่ภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ของ ปปช.หรือไม่เช่นอ้างว่า เป็นการขัดกันแระหว่างผลประโยชน์หรือไม่ ต้องดูว่ากฎหมายปปช.โดยหากพูดถึงมาตรา100 พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 จะกำหนดไว้เพียงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บริหารท้องถิ่นและรองผู้บริหารท้องถิ่น ไม่ได้รวมถึง ส.ส. ส.ว.และสนช. ส่วนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของปปช.แต่เป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน
สุรชัยสั่ง50สนช.ถอนญาติทั้งหมด
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. คนที่ 1 กล่าวภายหลังการประชุมวิป สนช.ว่า วิปหารือถึงการแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้ามาช่วยงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ชำนาญและที่ปรึกษาประจำตัว ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งตามกฎระเบียบไม่มีอะไรขัดหรือแย้งกับระเบียบ แต่เมื่อสังคมทักท้วงถึงความเหมาะสม สนช.จึงเห็นว่า ควรจะเป็นสภาตัวอย่าง วิป สนช.จึงให้คำแนะนำว่า สมาชิกที่ตั้งบุคคลใกล้ชิดติมาช่วยงานตำแหน่งดังกล่าวให้ปรับออกทั้งหมด ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1มีนาคม
“หวังว่าสมาชิกจะดำเนินการเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีทางการเมือง เมื่อสังคมตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เหมาะสมเราก็ต้องแสดงสปิริต และต่อไปในอนาคตหากมีการปฏิรูปก็ควรกำหนดเป็นระเบียบให้ชัดเจนจะได้ไม่ต้องเถียงกันว่าขัดหรือไม่”นายสุรชัย กล่าว
เร่งจ่ายเงินเยียวยาผู้ร่วมชุมนุม
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี2556-2557ว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้นำเข้าที่ประชุม ครม.ซึ่งแนวทางเรื่องนี้จะต้องมีกฎหมายรองรับที่ถูกต้อง ทั้งนี้ การดำเนินการนั้นขอให้มีความเป็นธรรม
ด้าน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงการตรวจสอบหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองกลุ่ม กปปส.ว่า ยังไม่ได้ดู ยังไม่เห็นเรื่องเลย อาจจะมีการส่งไปแล้ว ก็ขอไปตามเรื่องก่อนว่าถึงไหนแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาโดยเร็วหรือไม่ นายดิสทัต กล่าวว่า ถ้าส่งกฤษฎีกาก็ต้องเร็วเสมออยู่แล้ว ก็จะรีบดูให้
คาดเยียวยาย้อนหลังม็อบตั้งแต่ปี48
ส่วนม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ต้องตีความตัวบทกฎหมายให้รอบคอบและครอบคลุมทุกกลุ่มตั้งแต่เหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 2548 -2553 ในส่วนของผู้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา และล่าสุดเมื่อปี 2556- 2557 โดยอัตราส่วนจำนวนเงินที่จะได้รับก็ต้องเป็นธรรมและอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนด โดยทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน
มาร์คส่งผู้แทนรับข้อหา10มี.ค.
ทางด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ปปช. กล่าวถึงการส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหากรณีสลายการชุมนุมเมื่อปี2553 ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯว่า ปปช.ได้รับประสานมาแล้วว่า การรับทราบข้อกล่าวหาของบุคคลทั้งสองนั้น จะส่งผู้แทนมารับหนังสือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อนำไปให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบในวันที่ 10มีนาคมนี้ โดยหลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาจะต้องเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15วัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี