5 มี.ค.58 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ครั้งที่ 14/ 2558 โดยมี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.เป็นประธานในที่ประชุม เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอนสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 38 คน ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ในญัตติ ซักถามประเด็นตามที่ประชุม สนช.กำหนดตามญัตติของ สนช.โดยคณะกรรมาธิการซักถาม (ตามข้อบังคับ ข้อ 154 วรรคสาม) ทั้งนี้ แบ่งเป็นคำถามต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.จำนวน 13 คำถาม ขณะที่อดีต ส.ว.38 คน จำนวน 5 คำถาม
โดยคำถามเริ่มต้นในฝั่ง ป.ป.ช.ผู้กล่าวหา ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังสามารถถอดถอนอดีต 38 ส.ว.ได้หรือไม่ ทั้งที่ไม่มีรัฐธรรมนูญฯ 2550 รวมทั้งเมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ทำไมถึงส่งเรื่องให้ สนช.ถอดถอน โดย นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.เป็นตัวแทนชี้แจงว่า ในการประชุมของ ป.ป.ช.ได้มีความเห็น 2 ฝ่าย โดยเสียงข้างมาก 8 เสียง เห็นว่าแม้ไม่มี รธน.ปี 2550 แต่ก็ยังมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ในมาตรา 58 บังคับใช้อยู่ ยังสามารถพิจารณาได้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับ สนช.ก็ได้ออกข้อบังคับเกี่ยวกับถอดถอนเอาไว้ ป.ป.ช.จึงส่งเรื่องมาให้ถอดถอน แต่ก็มีกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยที่มีตนรวมอยู่ด้วย เห็นว่าไม่สามารถถอดถอน เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญ 2550 อีกทั้ง กฎหมาย ป.ป.ช.ก็ไม่ใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะสิ้นสภาพไปแล้วด้วย จึงควรยกประโยชน์ให้อดีต 38 ส.ว.ต่อไป ส่วนการที่อดีต 38 ส.ว.พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ยืนยันว่า ที่ยังดำเนินการถอดถอนต่อไปเพราะมีโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีอีกด้วย
นายวิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกรณี นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีการโต้แย่งว่าขาดคุณสมบัติเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เพราะดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทองค์กรเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ขอยืนยันว่า นายภักดีได้แสดงเจตนาลาออกไปก่อนรับตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.แม้จะติดขัดเรื่องเอกสารบ้างก็ไม่มีผลอะไร ดังนั้น จึงไม่กระทบการทำหน้าที่ในการวินิจฉัยในประเด็นของอดีต 38 ส.ว.ขณะที่คุณสมบัติของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.นั้น จะกรกระทบในการพิจารณาประเด็น 38 ส.ว.หรือไม่ เพราะต้นขั้วการพิจารณาสำนวนดังกล่าวระบุไว้ ตั้งแต่ 15 พ.ค.57 และขณะนั้น น.ส.สุภา ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพราะยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่ขอยืนยันในการพิจารณาเรื่องนี้ น.ส.สุภา เข้ามาพิจารณาเป็นครั้งแรกในวันที่ 13 พ.ย.57 ภายหลังได้รับการแต่งตั้งในวันที่ 9 ก.ย.57 เป็นต้นมา
"ส่วนที่ ป.ป.ช.ส่งผมที่เป็นกรรมการเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยในการพิจารณาเรื่องนี้ เพราะเพื่อให้เห็นว่า เราทำตรงตรงมา หรือแฟร์เพลย์ โดยไม่มีเจตนาเอาผิดพวกท่าน หาก ป.ป.ช.มุ่งร้าย อดีตวุฒิสภาทั้ง 38 คน ก็คงไม่ส่งผมมาทำหน้าที่ดังกล่าว" นายวิชัย กล่าว
นายวิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับการชี้มูลอดีต 38 ส.ส.นั้น ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เพียงฐานเดียวคือกระทำผิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยใช้ร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้เสนอมาโดยชอบ ซึ่งตนไม่อยากเรียกว่า รัฐธรรมนูญสอดไส้ ขณะที่ข้ออ้างว่าอดีต 38 ส.ว.ไม่ทราบเรื่อง ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องทำหน้าที่อย่างรอบคอบ เพราะเป็นตัวแทนของประชาชนทุกคน อีกทั้งความผิดทางกายภาพก็ชัดเจน เพราะเป็นการยื่นแก้ไขสองร่างเป็นคนละฉบับ คือร่างที่ชอบด้วยกฎหมาย และร่างที่เพิ่มขึ้น คือ มาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ในภายหลัง และไม่แจกจ่ายให้สมาชิกพิจารณาให้ครบทุกคน ป.ป.ช.จึงเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหา ส่อจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
นายวิชัย กล่าวว่า ส่วนคำถามที่ระบุว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อนุญาตให้ ส.ว.สามารถสมัครรับเลือกตั้งได้ต่อเนื่อง จากเดิมต้องเว้นวรรคทางการเมือง รวมทั้งอดีต 38 ส.ว.จะได้ประโยชน์เรื่องดังกล่าวหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็จะให้สามารถลงสมัครรับเลือกได้ทันที ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง แต่ ป.ป.ช.ไม่ได้วินิจฉันในประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นอุดมการณ์และความคิดเห็น แต่เราได้พิจารณาในประเด็นเดียวคือ การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบ เพราะมีรัฐธรรมนูญฉบับสอดไส้ด้วย
ทางด้าน 38 ส.ว.นำโดย นายวิทยา อินาลา อดีต ส.ว.นครพนม ได้ตอบคำถามของคณะกรรมาธิการซักถาม ว่า ทราบหรือไม่ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมไม่ใช่เอกสารจริง โดยนายวิทยา ชี้แจงยืนยันว่า ร่างที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญและใช้ในการพิจารณามีร่างเดียวไม่ใช่เอกสารปลอม แต่เป็นร่างที่ นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย และสมาชิกรัฐสภา 308 คน ได้ยื่น และมีการแก้ไขก่อนที่ประธานจะบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม โดยมีการแก้ไขจาก 12 มาตรา เป็น 13 มาตรา และเป็นร่างที่นายอุดมเดชได้แถลงหลักการต่อที่ประชุมรัฐสภา จึงถือว่าเป็นร่างเดียวกัน โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามกระบวนการนิติบัญญัติที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2475 กว่า 80 ปีแล้ว และที่ผ่านมามีการเปลี่ยนเนื้อหาก่อนที่ประธานจะบรรจุระเรียบวาระ เช่น ร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม ของ นายนิยม วรปัญญา อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ และร่าง พ.ร.บ.การค้า พ.ศ. .... ของ นางอานิก อัมระนันทน์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
สำหรับคำถามที่ถามว่า เป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ นายดิเรก ถึงฝั่ง สปช.นนทบุรี ในฐานะ 1 ใน 38 ส.ว.ผู้ถูกกล่าวหา ชี้แจงว่า ไม่มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์แต่อย่างใด เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า เป็นหน้าที่ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่างจากการบริหารประเทศในลักษณะอื่น ซึ่งได้ยึดหน้าที่ในการปฏิบัติตามมาตรา 291 ทุกประการ และไม่ได้หมายความว่าเมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว พวกตนทั้ง 38 คน จะลงเลือกตั้ง แต่เมื่อไหร่ที่พวกตนลงสมัครรับเลือกตั้ง ถึงจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดจะลงเลือกตั้ง ถือว่าความผิดยังไม่สำเร็จ องค์ประกอบยังไม่ครบ บางคนคิดจะลงสมัครก็ไม่รู้ว่าจะได้รับเลือกหรือไม่ ส่วนที่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีเจตนาเพื่อตัวเองหรือไม่ในการกำหนดให้ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการสรรหานั้น เวลาที่ ป.ป.ช.จะกล่าวโทษพวกตน ป.ป.ช.ก็อ้างศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนได้ชี้แจงไปแล้วว่าศาลรัฐธรรมไม่รับวินิจฉัยมาตรา 68 โดยระบุว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคง ป.ป.ช.ไว้ ทำให้ ป.ป.ช.อาศัยอำนาจตรงนี้ แต่คำสั่งของ คสช.ที่ให้คง ป.ป.ช.ไว้เพื่อให้ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาระบบคอร์รัปชั่น ที่รัฐบาลจะต้องบริหารประเทศต่อ ไม่ได้หมายว่าให้เอาเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาเข้าสู่การพิจารณา และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือว่าผูกพันทุกองค์กร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางกรรมาธิการซักถาม ยังถามคำถามของสมาชิก ที่มีเนื้อในลักษณะเดียวกัน เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้นายดิเรก ชี้แจงว่า เป็นคำถามที่ได้ตอบไปแล้วในคำถามที่ผ่านมา จึงไม่ขอตอบอีก
ส่วนคำถามสุดท้ายก็มีเนื้อหาคล้ายเดิมถึงการแก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งเป็นการเอื้อประโยชน์ ให้กับตัวเองและพวกหรือไม่ นายวิทยา ชี้แจงว่า เป็นคำถามลักษณะเดิมที่นายดิเรกได้ตอบไปแล้ว แต่ในช่วงการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ตนยืนยันว่า ไม่ลงสมัคร ส.ว.แน่นอน ซึ่งตนได้ชี้แจงกับ ป.ป.ช.ไปแล้ว และได้ประกาศผ่านสถานีวิทยุ ใน จ.นครพนม ว่าตนไม่ลงสมัคร ส่วนอนาคตนั้นตนตอบไม่ได้ และอดีต ส.ว.ทั้ง 38 คน เป็นสิทธิและเสรีภาพว่าจะทำอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ไม่ลงสมัคร เพราะลงแล้วไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ ก็ยังไม่ทราบ ดังนั้น อย่าไปอ่านอนาคตว่าใครจะดีหรือจะเลวอย่างไร
จากนั้น นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม ได้แจ้งว่า ในวันที่ 11 มี.ค.จะเป็นวันที่มีการแถลงปิดสำนวนคดี ด้วยวาจาของทั้ง 2 ฝ่าย ขณะที่ สนช.ได้กำหนดลงมติในวันที่ 13 มี.ค.นี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี