โพลล์หัก‘กมธ.’
นายกฯ-สว.มาจากเลือกตั้ง
หย่อนบัตรยึดรูปแบบเดิม
รธน.รับรองนิกายธัมมชโย
เมื่อเวลา 09.00 น .วันที่ 9 มีนาคม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้เริ่มพิจารณาทบทวนบทบัญญัติเป็นรายมาตราจำนวน 315 มาตรา และพิจารณาเจตนารมณ์ของเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเริ่มตั้งแต่มาตรา 1 พร้อมเรียงลำดับมาตราใหม่ และหากถึงเรื่องที่มีการแขวนไว้ในมาตราใดที่ยังไม่ตกผลึกชัดเจนก็จะนำเข้ามาพิจารณาควบคู่กันไป
โดยมีเรื่องที่น่าสนใจ อาทิ มาตรา 41 ว่าด้วยเสรีภาพของบุคคลในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยม ซึ่งมีกมธ.ยกร่างฯ ตั้งคำถามว่า กรณีของพระธรรมกายถือเป็นการขัดศาสนาบัญญัติที่กระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่และได้รับคำชี้แจงว่า กรณีธรรมกายถือ เป็นการตีความหลักการของศาสนาพุทธผิดไปจากหลักการเดิม จึงถือว่าธรรมกายไม่ใช่พุทธศาสนา
รธน.รับรองนิกาย”ธัมมชโย”
ส่วนพระธัมมชโยที่ตีความพุทธศาสนาไม่ตรงกับหลักการของพุทธศาสนา ก็เป็นการตีความหมายที่ผิด ดังนั้นประเด็นดังกล่าวธัมมชโย ถือเป็นอีกนิกายที่เข้าข่ายเสรีภาพ เว้นแต่ในอนาคตจะมีการตั้งนิกายใหม่ เป็น “ธัมมชโยศาสนา”ถ้าแบบนั้นก็ต้องว่ากันอีกทีปรับแก้ไขถ้อยคำ และเขียนเจตนารมณ์ที่ชัดเจนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวาระพิจารณาทบทวนบทบัญญัติของมาตราในร่างรัฐธรรมนูญในวันแรกนั้นได้พิจารณาแล้วเสร็จไป 51 มาตรา และปิดประชุมในเวลา 16.30 น.
แค่ทบทวนไม่แก้ไขหลักการ
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมกมธ.ยกร่างฯว่า เป็นการประชุมเพื่อทบทวนบทบัญญัติทั้งฉบับแบบเรียงมาตราตั้งแต่มาตรา1-315 มาทบทวนในถ้อยคำ แต่จะไม่พิจารณาหรือทบทวนในหลักการของบทบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาไปแล้วในร่างแรก
ส่วนในประเด็นที่มีภาคประชาชนเรียกร้องให้พิจารณา เช่น สัดส่วนเพศตรงข้ามที่ต้องการเพิ่มสัดส่วน50 ต่อ 50 ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญหรือการพิจารณาแก้ไขรายละเอียดของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปแห่งชาติต้องขึ้นอยู่กับการหยิบยกมาพิจารณาของกมธ.ยกร่างฯอีกครั้ง
ถ่ายสดคืบหน้าร่างรธน.10มี.ค.
นายคำนูณ กล่าวอีกว่า การประชุมสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 10มีนาคม มีวาระการพิจารณาพิเศษ คือ การรายงานภาพรวมการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยนายบวรศักดิ์และคณะ จะชี้แจงภาพรวมร่างรัฐธรรมนูญวาระพิเศษต่อสปช.เป็นเวลา 2ชั่วโมง ช่วงเวลา 11.00-13.00น.ถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง11
ส่วนประเด็นที่รอพิจารณาคือ ข้อเสนอกำหนดสัดส่วนเพศสตรีในระบบบัญชีรายชื่อและในสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า1ใน3 จะต้องรอให้ตกผลึกทางความคิดก่อน หรือเมื่อทบทวนถึงรายมาตรานั้นๆ
กมธ.เปิดผลรับฟังความเห็น
ด้าน น.ส.สุภัทรา นาคะผิวและนางถวิลวดี บุรีกุล กมธ.ยกร่างฯ ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการ(กมธ.) การมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดของประชาชนและกมธ.ยกร่างฯ ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่1 เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเป็นแนวทางจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ จากตัวอย่างประชาชน 5,800 คน ช่วงวันที่ 5-11 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันพระปกเกล้าและกมธ.ยกร่างฯผ่านสำนักงานสถิติแห่งชาติ
จี้องค์กรอิสระโชว์ทรัพย์สิน
ทั้งนี้ประเด็นที่ประชาชนเห็นด้วยร้อยละ 90 ขึ้นไปที่น่าสนใจ อาทิ ตั้งกองทุนยุติธรรมเพื่อเป็นเครื่องมือในการดูแลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกระบวนการยุติธรรม นโยบายที่ใช้เงินจำนวนมากต้องระบุที่มาของแหล่งเงินว่ามาจากที่ใด กรรมการองค์กรอิสระต้อง เปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณะ ส่วนข้าราชการและพนักงานระดับสูง(ระดับ ผอ.กองขึ้นไปหรือเทียบเท่า) ต้องเปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณะ และควรมีคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง
นายกฯ-สว.ต้องมาจากเลือกตั้ง
นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่า ควรกำหนดให้การซื้อและขายเสียงเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก ควรตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเครือญาติ คู่สมรสและบุตรย้อนหลัง 5ปี ที่น่าสนใจคือการเลือกตั้งสส.แบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อควรเป็นรูปแบบเดิม ขณะที่นายกรัฐมนตรีต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและต้องมาจากการเลือกตั้ง ควรกำหนดสัดส่วนผู้แทนซึ่งเป็นผู้หญิงไม่น้อยกว่าร้อยละ30 และเห็นว่า สว.ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
เล็งลงฟังความเห็นยกร่าง4จว.
“ยืนยันว่า กมธ.ยกร่างฯ ไม่เสียความตั้งใจ แม้ผลสำรวจประชาชนเห็นตรงข้าม โดยเฉพาะเรื่องที่มานายกฯต้องเป็นสส.และที่มาสว.มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น หลังจากนี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างฯจะนำทีม กมธ.ยกร่างฯลงฟังความคิดเห็นประชาชนใน 4ภาค เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก โดยวันที่ 3-4เมษายน จ.เชียงใหม่ วันที่ 2-3พฤษภาคม จ.นครศรีธรรมราช วันที่ 16-17พฤษภาคม จ.ขอนแก่นและกทม.ช่วงวันที่ 23-24พฤษภาคม’น.ส.สุภัทรา กล่าว
สปช.จ่อเคาะรูปแบบเลือกตั้ง
ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง กล่าวภายหลังการประชุมกรรมาธิการฯ ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงเรื่องการจัดทำกลไกและการออกแบบกลไกของกระบวนการปฏิรูปการเมือง โดยมอบหมายให้อนุกรรมาธิการฯไปศึกษาและจัดทำความเห็นมาประกอบ ซึ่งจะนำมาประมวลผลและนำเสนอเพื่อระดมความเห็นอีกครั้งในการสัมมนาเป็นการภายในของกรรมาธิการฯ ในระหว่างวันที่ 26-27มีนาคม ที่ จ.ชลบุรี
ให้สมาชิกพรรคโหวตคนลงสส.
นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือถึงระบบการเลือกตั้งเบื้องต้น ซึ่งเป็นระบบทำให้ผู้ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้งสส.ต้องผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคและสาขาพรรคในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ซึ่งที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงานที่มีผู้เชี่ยวชาญรวมอยู่ด้วยเพื่อไปศึกษาและจัดทำเป็นรายงานเพื่อเสนอกลับมายังกรรมาธิการฯ อีกครั้งในการสัมมนาที่ จ.ชลบุรี ด้วย
เพื่อสกัดใบสั่งนายทุนการเมือง
“ผู้ที่จะลงสมัครสส.ต้องผ่านกระบวนการการเลือกตั้งเบื้องต้น โดยให้สมาชิกพรรคในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เป็นคนเลือก เพื่อเปิดกว้างให้ผู้สนใจการเมืองมีช่องทางที่สามารถจะเข้ามาได้และเพื่อลดอิทธิพลของนายทุนและผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองนั้นๆ ในการเลือกผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้ง เรียกว่าเป็นการถ่ายโอนอำนาจให้กับสมาชิกและสส.” นายอลงกรณ์กล่าว
ศปป.ชี้บางกลุ่มเมินปรองดอง
พล.ท.บุญธรรม โอริส รอง ผอ.ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูป (ศปป.) พร้อมด้วย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมชี้แจงความคืบหน้าการเปิดเวทีสร้างความปรองดองว่าตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557-มีนาคม 2558 เปิดเวทีไปแล้ว 3 ด้าน คิดเป็นภาพรวมดำเนินการได้30% ซึ่ง ศปป.จะดำเนินการ70% ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ จากการลงพื้นที่ยอมรับว่า ยังมีบางพวกไม่อยากให้เกิดความปรองดอง เพราะมีผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งตรงนี้เรากำลังเข้าไปทำความเข้าใจต่อ
นัดถกแนวทางเยียวยา13มี.ค.
พล.ท.บุญธรรม กล่าวด้วยว่า วันที่ 13 มีนาคมนี้ ตนในฐานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการดูแลเรื่องการเยียวยาให้กับผู้ที่มีผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อการชุมนุมทางการเมืองช่วงปี2548-2557 เตรียมจะประชุมหารือกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ในเรื่องสร้างความปรองดองและการเยียวยา โดยกลุ่มเป้าหมายจะพิจารณาผู้ที่ได้รับผลตรงคือผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ยังไม่ได้เยียวยา ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม คือ ครอบครัวที่ขาดผู้นำ จะเข้าไปเยียวยาในเรื่องสภาพจิตใจ หางานให้ทายาท ตลอดจนการศึกษา
ปปช.ตั้ง“สุภา”สอบเยียวยาแดง
วันเดียวกันนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีการแสวงหาข้อเท็จจริงในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548-2553 วงเงิน 577 ล้านบาท ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานว่ามีจุดไหนบกพร่องบ้าง และยังให้น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบในรายละเอียดตัวเลขการจ่ายเงิน รวมไปถึงพยานหลักฐานต่างๆด้วยเนื่องจาก น.ส.สุภามีความเชี่ยวชาญในเรื่องการปิดบัญชี และเคยทำงานเป็นรองปลัดกระทรวงการคลังมาก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี