31 มี.ค.58 ที่รัฐสภา นายบุญเลิศ คชายุทธเดช โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แถลงถึงการเตรียมการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญของคณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง ว่า กำหนดผู้อภิปรายไว้ 5 คน ได้แก่ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ , นายดิเรก ถึงฝั่ง , นายบุญเลิศ คชายุทธเดช , นายนิรันดร์ พันทรกิจ และนายนันทวัฒน์ บรมานันท์ โดยมีนายสมบัติ เป็นหัวหน้าในการอภิปรายภาพรวมโครงสร้างทางการเมือง องค์กรอิสระ ส่วนอีก 4 คนที่เหลือ ยังไม่ได้กำหนดว่าใครจะอภิปรายประเด็นไหนอย่างไร
ทั้งนี้ สปช.ที่อยู่ในคณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง มีสิทธิที่จะอภิปรายในเรื่องการเมืองทั้งหมด สำหรับเรื่องอื่นๆ ตามที่ สปช.กำหนด ให้อภิปรายคนละ 12 นาทีนั้น ยังไม่แน่นอนว่าจะเพิ่มได้กี่นาที เนื่องจากว่า นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.ได้กล่าวว่าอาจจะขยายเวลาการอภิปรายถึงเที่ยงคืน ก็คงจะได้เวลาเพิ่มมากขึ้น
นายบุญเลิศ กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ที่ประชุมเสนอให้วาระของฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และองค์กรอิสระมีวาระเท่ากัน ถูกประเมินผลเหมือนกับองค์กรทั่วไป ที่มาของนายกรัฐมนตรี เห็นว่าควรบัญญัติว่าเป็น ส.ส.โดยเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งภายหลังการเลือกตั้ง ส่วนสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าควรมาจากการเลือกตั้งทางตรงจังหวัดละ 1 คน รวมเป็น 77 คน อีก 123 คน มาจากกลุ่มอาชีพตามแนวทางที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ร่างไว้ คณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง จะอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่การยำ ชำแหละ ไม่มุ่งเอาชนะคะคานกัน ใช้เหตุใช้ผลกัน ซึ่งแม่น้ำสองสายแม้จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่างกัน แต่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบัญญัติให้มีความเชื่อมโยงกัน จะต้องทำงานร่วมกัน หากไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง สปช.และ กมธ.จะต้องกลับบ้านกันไปทั้งหมด คัดเลือกกันใหม่ นับหนึ่งกันใหม่ จะทำให้เวลาที่มีการเลือกตั้งต้องทอดยาวออกไปอีกนับเป็นปี
"มีการเปรียบเทียบว่าแม่น้ำสายสี่แม่น้ำสายห้านั้น เราเหมือนอยู่ในเรือลำเดียวกัน กมธ.ยกร่างฯ แจวเรือ สมาชิก สปช.พายเรือ ทั้งพายทั้งแจวหรือจะมีคนค้ำถ่อ ก็มุ่งที่จะให้เรือลำนี้ซึ่งเราเรียกว่าเรือปฏิรูปนั้นไปให้ถึงฝั่งให้ได้ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่เหมาะสมกับสังคมไทย สภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน ที่เผชิญกับวิกฤตมาอย่างยาวนานและจะหาทางออก ใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกไปอย่างยาวนาน" นายบุญเลิศ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงการคัดเลือกบุคคลทั้ง 5 คน ที่มานำอภิปรายมีหลักเกณฑ์อย่างไร นายบุญเลิศ กล่าวว่า หลักเกณฑ์คือผู้อภิปรายต้องมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ที่ประชุมมีมติมา และมีความสามารถในการอภิปรายชี้แจงเหตุผลได้อย่างครอบคลุม ครบถ้วนตามเวลาที่จำกัด
เมื่อถามว่า ทางคณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.แสดงว่าไม่เห็นด้วยกับนายกฯ คนนอก ใช่หรือไม่ นายบุญเลิศ กล่าวว่า นายกฯ คนนอก จะมาได้เมื่อเกิดวิกฤต แต่โดยหลักต้องบัญญัติว่า นายกฯ ต้องเป็น ส.ส.ที่ผ่านการลงมติเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรภายหลังการเลือกตั้งมาแล้ว นายกฯ คนนอก จะมายังไงต้องคิดกันต่อไป ตรงนี้เป็นรายละเอียด ที่ผ่านมาไขว่คว้ากันแต่มาตรา 7 อย่างเดียว ซึ่ง กมธ.บอกว่าโดยธรรมชาติ ส.ส.คงไม่เลือกคนนอก แต่คณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง เห็นว่า การไปบัญญัติเช่นนั้นไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เพราะประชาชนต้องการให้บัญญัติว่านายกฯ ต้องเป็น ส.ส.มิฉะนั้นอาจจะเกิดวิกฤตเหมือนปี 2535 ที่นายกฯ คนนอก มาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎรแล้วไม่มีใครยอมรับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี