สปช.พิจารณาปฏิรูปผูกขาดการค้า
วันพุธ ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558, 14.52 น.
Tag :
1 เม.ย. 58 ที่รัฐสภา การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยมีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. เป็นประธานในการประชุม ได้พิจารณารายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยวและบริการ เรื่อง การผูกขาดและการแข่งขันที่เป็นธรรม
สาระสำคัญของรายงานคือ ข้อเสนอคือกำหนดนิยาม "ผู้ประกอบธุรกิจ" ให้รวมถึงธุรกิจในเครือเพื่อให้เกิดความครอบคลุม กำหนดหลักเกณฑ์ ระเบียบ และแนวปฏิบัติในเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจนครบถ้วน มีสภาพบังคับตามกฎหมายและมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน อีกทั้งยังกำหนดให้รัฐวิสาหกิจที่ประกอบธุรกิจเป็นทางการค้าปกติแข่งขันกับเอกชนอยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า รวมทั้งขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมนโยบายหรือาตรการของรัฐที่ลดหรือจำกัดการแข่งขันและพฤติกรรมไม่เป็นธรรมที่ส่งผลต่อผู้บริโภค ตลอดจนให้มีอำนาจการบังคับใช้นอกราชอาณาจักร หรือสิทธิสภาพนอกอานาเขต และปรับโครงสร้างคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้ปลอดจากการครอบงำทางการเมือง กลุ่มผลประโยชน์
นายเกริกไกร จีระแพทย์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยวและบริการ กล่าวว่า ไทยมีกฎหมายแข่งขันการค้าครั้งแรก ปี 2542 ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหากกิจกรรมที่มีการผู้ขาดจะเป็นที่มาของคอรัปชั่น แม้จะมีกฎหมายทางการแข่งขันทางการค้าแต่ก็ไม่อาจบังคับใช้ได้จริงในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับการอภิปรายของสมาชิก สปช. ที่สำคัญ เช่น ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่มี พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า แต่กลับไม่สามารถนำไปสู่การบังคับใช้ได้จริง เทียบกับประเทศอินโดนีเซีย ที่เริ่มจากเจ้าหน้าที่ 40 คน ปัจจุบันมี 400 คน งบประมาณ 400 ล้านบาท แต่ไทยมีสำนักงานอยู่ในกรมการค้าภายใน เจ้าหน้าที่ 20 กว่าคน งบประมาณ 2-3 ล้านบาท และตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน มีเรื่องเข้ามา 94 เรื่องแต่ไม่มีเรื่องใดสำเร็จ ทั้งที่กฎหมายนี้ถือเป็นกฎหมายที่ดีเขียนเรื่องป้องกันการใช้อำนาจเหนือตลาด การควบรวม การฮั้ว การกีดกันซื้อสินค้า หรือกระทำใดๆ ที่ขัดต่อการค้าเสรีเป็นธรรม ซึ่งไม่มีคำนิยามว่าเรื่องไหนที่เข้าข่ายบ้าง ดังนั้นหากไม่มีการบังคับใช้ สภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้เกิดการค้าเป็นธรรมก็จะไม่เกิด ก็จะกระทบกับการลงทุน ดังนั้นเห็นว่าควรจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการมีกรรมการที่เป็นอิสระ มีรูปแบบคณะกรรมการที่เป็นอิสระปราศจากการเมือง และต้องทำหน้าที่ส่งเสริมการแข่งขัน ไม่ใช่ตรวจจับเพียงอย่างเดียว และเพิ่มนิยามที่เป็นข้อสงสัยในช่วงที่ผ่านมาให้ชัดเจน ต้องกำหนดแนวปฏิบัติ เพื่อทำให้ประเทศก้าวสู่ "เทรดดิ้งเนชั่น" อย่างที่ตั้งเป้าหมายให้ได้ และหาก แก้ไขกฎระเบียบเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจการค้าบริการโตขึ้นกว่า 50 %
นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวว่า ปัญหาของกฎหมายนี้อยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย และเกี่ยวข้องกับสามประสานอันตรายคือ การเมือง ธุรกิจผูกขาด และข้าราชการ ทั้งที่อยู่ในหน้าที่และเกษียณอายุ อีกทั้งต้องยอมรับว่ากลุ่มการเมืองได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ร่วมกันฮั้วไม่บังคับใช้กฎหมาย ทำให้ 16 ปีที่ผ่านมาไม่เคยบังคับใช้กฎหมายได้เลย ดังจะเห็นว่าที่ผ่านมาเมื่อไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้เอสเอ็มอีเสียหาย โชว์ห่วยย่อยยับ เช่นเดียวกับข้าราชการที่ไม่กล้าเอาผิด เพราะข้าราชการส่วนหนึ่งที่เกษียณอายุราชการก็ไปนั่งเป็นที่ปรึกษา กรรมการบริษัทเหล่านี้ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายทำไม่ได้ อีกด้านหนึ่งที่ต้องพัฒนาคือ ธรรมาภิบาลภาคธุรกิจ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขสามประสานอันตรายที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
น.ส.รสนา โตสิตระกูล กล่าวว่า ผู้ที่มีทุนผูกขาดได้ล่วงเข้าไปควบคุมมีอำนาจเหนือนักการเมือง ข้าราชการ สื่อมวลชน เมื่อมีการจับมือระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และทุนผูกขาด โดยสื่อมวลชนไม่ตรวจสอบคือหายนะ ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจขนาดใหญ่ที่หลากหลายมาก ขายอาหารแย่งกับการค้าขายแผงลอยเล็กน้อย ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของกลุ่มทุนผูกขาด ต่างประเทศไม่ได้ให้ทำธุรกิจควบรวมทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ซึ่งต้องคิดกันอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาทำให้ร้านโชว์ห่วยตาย ควรจัดระเบียบห้างไม่ให้รุกเข้าไปในชุมชน
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กล่าวว่า เห็นด้วยกับการปรับปรุงกฎหมาย โดยปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากสามฝ่าย คือ การเมือง ธุรกิจ ข้าราชการ อีกทั้งยังพบว่าธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ข้างหลังพรรคการเมือง โดยกฎหมายฉบับนี้มีจุดอ่อนคือ ประธานคณะกรรมการตามกฎหมายเป็นรัฐมนตรีโดยตำแหน่ง ปัญหาถัดมาคือ ข้าราชการไม่มีความกล้าหาญ ส่วนข้อเสนอเรื่องทำให้คณะกรรมการตามกฎหมายเป็นอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงพาณิชย์ บทเรียนที่ผ่านมาจากรัฐธรรมนูญ 2540 พบว่ามีการแทรกแซงองค์กรอิสระอยู่ดี จึงต้องตั้งคำถามว่านอกจากจะแก้กฎหมายแล้วจะแก้ไขเรื่องการเมืองอย่างไร โดยเฉพาะธุรกิจผูกขาดทุนใหญ่อยู่หลังพรรคการเมือง บางคนแอบอยู่หลายพรรคการเมือง บางคนเข้ามาเล่นการเมืองโดยตรง หวังเอาประโยชน์จากการผูกขาดธุรกิจ
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง กล่าวว่า จากที่เคยลงไปรับฟังความคิดเห็นประชาชนพบตัวอย่างว่า ร้านขายข้าวผัด จ.สมุทรสงคราม ต้องปิดตัวลงเพราะสู้ร้านสะดวกซื้อไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่เจ้าของร้านค้า ข้าวผัด อาหารตามสั่ง แต่ยังกระทบความมั่นคงทางอาหาร เพราะกระบวนการผลิตของร้านสะดวกซื้อมีเจ้าเดียวผลิต แต่ร้านค้าทั่วไปมีการผลิตมาจากที่หลากหลาย เช่นขายอาหารก็ต้องไปซื้อไข่ ซื้อผัก จากร้านต่างๆ มาประกอบกันขึ้น นี่คือสิ่งที่จะเป็นปัญหาจากการผูกขาด