ประกาศแล้วคำสั่งม.44
ไฟเขียวทหาร
เพิ่มอำนาจลุย'เด็ดขาด'
ห้ามชุมนุมเกิน5คน
ฝ่าฝืนติดคุก6เดือน
ปิดสื่อ/จับได้ทันที
เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้ข้าราชการพลเรือนดีเด่น เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน พร้อมให้โอวาทข้าราชการทั่วประเทศ
บิ๊กตู่โต้ข้อกล่าวหาเผด็จการ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนไม่ใช่เผด็จการอย่างที่หลายประเทศกล่าวหา ไม่เคยยึดที่ยึดบ่อน้ำมัน พูดกันอยู่ได้ว่าเป็นเผด็จการ กฎอัยการศึกมีอยู่ 17 มาตราใช้เพียง 2 มาตราคือ จับกุม คุมขัง สอบสวนผู้ที่ผิดกฎหมาย ละเมิดสถาบัน และไม่กลัวกฎหมายปกติ แต่ออกมาขนาดนี้ยังไม่กลัวกันเลย อีกหน่อยก็ออกไปรวมกันอยู่เมืองนอกกันหมด ทุกประเทศที่มีความขัดแย้งมากๆ ก็ต้องมีกฎหมายนี้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถปลดล็อคอะไรได้เลย
แจงต้องห้ามเลือดให้ประเทศ
“มีคนมาบอกผมว่าควรจะอาย เพราะใช้กฎอัยการศึก แต่ที่ผมใช้เพราะต้องการหยุดปัญหา หยุดเลือดที่ไหลอยู่ หรือว่าไม่ใช่ไม่มีใครเลือดไหลเลยหรือ ประเทศไทยเรากำลังเลือดไหล ประชาธิปไตยกำลังล้มพังทลาย ผมต้องไปประคอง ไม่ได้มาทวงบุญคุณแต่อยากให้เข้าใจ เราพยายามทำทุกอย่าง”นายกฯกล่าว
ป้ดยึดอำนาจประชาชน
และย้ำว่า สำหรับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่ให้อำนาจ คสช.ดำเนินการใดๆก็ได้ และที่เขียนมาแบบนั้นไม่ใช่มายึดอำนาจประชาชน แต่เขียนให้ตนใช้แก้ปัญหา โดยไม่ต้องรอไปออกกฎหมาย ตนใช้มาตรา44 แก้ปัญหาจัดสรรที่ดินทรัพยากรป่าไม้ให้ถูกต้อง ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความเป็นธรรม ปัญหากรมการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และค้ามนุษย์ ที่ทุกอย่างมันแหลกเหลว
ชี้ไทยเตาะแตะเพราะตีกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า มีอดีตรัฐมนตรีชอบกล่าวว่ารัฐบาลนี้ชอบเลียนแบบนโยบาย แต่ตนว่าดีกว่ารัฐบาลที่ผ่านมามีแต่นโยบายแต่ไม่ทำ ก็เป็นแบบนั้น เราเอาทุกอย่างมาทำและจะทำอะไรได้มากกว่านี้ถ้าทำได้จริงจัง ประเทศคงเป็นมหาอำนาจไปนานแล้ว เรายังเตาะแตะอยู่เพราะตีกัน แต่โชคดีที่พื้นฐานเศรษฐกิจเราดีกว่าประเทศอื่น ตอนนี้ที่เศรษฐกิจลงเพราะมีกฎอัยการศึกหรือเศรษฐกิจโลก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเราต้องทำทั้งเล็กกลางใหญ่ความเชื่อมโยงในประเทศ ไปสู่เศรษฐกิจพิเศษ
ลั่นไม่เอาตระกูลมาทำชาติพัง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ตนไม่อยากทำร้ายใคร เพราะถ้าทำร้ายทุกกระทรวงต้องโดนหมด แต่ขอเข้าใจว่าที่ผ่านมาทุกกระทรวงถูกการเมืองเข้ามาล้วงลูก ข้าราชการต้องรักกัน ไม่ใช่ตระกูลใครจะมาเป็นนี่เป็นโน่น ตนไม่เอาตระกูลมาทำให้ประเทศเสียหาย ใครทำอะไรได้ก็ทำ เป็นอะไรได้ก็เป็น ไม่ต้องมาเอาใจตน ไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนนามสกุลใหม่ แต่ก็เสียดายเหมือนกัน เพราะทั้งโลกมีอยู่ชื่อเดียว ใครจะมาตั้งจันทร์โอชา ผมไม่แก้เพราะภูมิใจ อาจเชยนิดหน่อย แต่เวลาไปต่างประเทศเขาก็รักผมทุกคน ไม่ได้ดูว่าเป็นจันทร์โอชา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ย้ำใช้แก้ข้อติดขัดงานบริหาร-กม.
ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. กล่าวถึงการใช้มาตรา 44ว่า หลักใหญ่ๆใช้ในงานบริหารดูกฎหมายที่ออกมาไม่ทันใช้ เพื่อผลประโยชน์ประชาชน ไม่ใช่มติความมั่นคงอย่างเดียว เช่น แก้ปัญหาค้ามนุษย์ การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เพราะเรื่องเหล่านี้ถ้ารอกฎหมายกว่าถั่วสุกงาก็ไหม้พอดี จึงต้องออกเป็นคำสั่ง คสช.จากนั้นเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)รับทราบ ตามมาตรา44 กำหนด
ให้มั่นใจดีกว่าเก่า-เห็นแล้วเชื่อมั่น
“สิ่งที่นายกฯย้ำในที่ประชุม ครม.วันที่ 31 มีนาคมให้ทุกกระทรวงไปดูเรื่องที่ติดขัดข้อกฎหมาย ทำให้ดำเนินการล่าช้า โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ และย้ำด้วยว่าไม่อยากออกคำสั่งบ่อย มันรีบร้อนจำเป็นก็ออกไปเลย อย่างกรณีวิทยุการบิน ถ้ารอออกระเบียบมันช้า แต่ก็ต้องเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ ทราบดีว่าทุกคนห่วงใยใช้มาตรา44 ยืนยันฝ่ายกฎหมายและฝ่ายความมั่นคงดูรอบคอบแล้ว”พล.อ.ไพบูลย์กล่าว และว่า ขอให้มั่นใจที่ออกมาต้องดีกว่าของเดิม ถ้าไม่ทำก็ปฎิรูปไม่ได้ เชื่อมั่นนายกฯตลอด 10 เดือนไม่ใช้อำนาจในกฎอัยการศึกเลย ต้องรอโปรดเกล้าฯก่อน พอประกาศออกมาจะเห็นภาพและมีคำอธิบาย เห็นแล้วเชื่อมั่นแน่
วอนยอมรับเพิ่มยาแรงให้ปท.สงบ
เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า การใช้อำนาจไม่ได้เป็นลักษณะครอบจักรวาล รายละเอียดในมาตรา 44 ระบุไว้นายกฯสามารถออกคำสั่งได้ และยังไม่มีใครเคยเห็น ฉะนั้นจะมาวิจารณ์ว่าครอบจักรวาล มันก็ไม่ยุติธรรม นายกฯบอกว่าจะดูแลบ้านเมืองให้เรียบร้อย ถ้าทุกคนยอมรับที่ผ่านมาประเทศเสียประโยชน์ในการพัฒนา หรือทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งเป็นแผลที่รักษายากฝังลึก ถ้าต้องมีกฏหมายมากน้อยที่จะให้เกิดความสงบเรียบร้อย ก็คงต้องทำ อยากให้สังคมยอมรับถ้าต้องแลกด้วยความเข้มงวดทางกฏหมาย กับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
ต้องมีเครื่องมือพิเศษคุมกลุ่มใต้ดิน
ขณะที่พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบกกล่าวในเรื่องนี้ว่า ขณะนี้สถานการณ์ดูเหมือนเรียบร้อย แต่ยังมีการเคลื่อนไหวที่ส่งผลให้เกิดความไม่เรียบร้อยบ้างโดยเฉพาะเรื่องการรักษาความปลอดภัย จะเห็นได้ว่าช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีผู้ไม่หวังดีพยายามสร้างความไม่สงบขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่เราจำเป็นต้องกฎหมายพิเศษ หากเป็นกฎหมายปกติจะไม่ทันเหตุการณ์ ถือเป็นความจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม ไม่ต้องกังวลว่า มาตรา44จะไปส่งผลกระทบประชาชนที่ใช้ชีวิตประจำตัว แต่จะเป็นเครื่องมือดูแลความปลอดภัยให้พลเมืองดี
ยันไม่แรงกว่าอัยการศึก
“ยืนยันว่ามาตรา 44 ที่มาแทนกฎอัยการศึกนั้นไม่ได้รุนแรงมากกว่ากฎอัยการศึกแต่อย่างใด เพียงแต่การใช้กฎอัยการศึกมีคนไม่สบายใจมองเป็นการละเมิด การเปลี่ยนมาใช้มาตรา 44 จะทำให้การดำเนินการมีเหตุมีผลมากขึ้น เช่น บทลงโทษมีขอบเขตชัดเจน ทุกคนรับได้ ทั้งนี้ อยากให้ไปศึกษากฏหมายที่กำลังจะออกมานี้ให้ครบถ้วนก่อนวิจารณ์”พล.อ.อุดมเดชกล่าว และยืนยันว่า ทำให้เศรษฐกิจและความกดดันจากต่างชาติดีขึ้น รัฐบาลและนายกฯใคร่ครวญพร้อมหารือกับทุกภาคส่วนดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้นำเรื่องเศรษฐกิจไปพัวพันกับเรื่องการเมือง แต่ถ้าดูองค์รวมจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น รัฐบาลพยายามแก้ปัญหามาตลอด ปัญหามีมาก บางอย่างต้องใช้เวลา บางอย่างจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ การเปลี่ยนมาใช้มาตรา44 จะต้องปรับการปฎิบัติงานเป็นการร่วมมือระหว่างทหารกับตำรวจ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกต่างๆดีขึ้น
นายกฯสั่งทำความเข้าใจใช้ม.44
วันเดียวกัน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาลว่า นายกฯมอบให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี ไปทำความเข้าใจกับประชาชนถึงการทำงานของรัฐบาลระยะที่ 2 เพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้ง ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตรวจสอบการรับซื้อยางพาราตามโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อสร้างเสถียรภาพยางพารา ให้เป็นธรรมทั่วถึง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมดังกล่าว นายกฯยังสั่งการให้นายสุวพันธุ์ไปทำความเข้าใจกับประชาชน ภาครัฐ เอกชนถึงการบังคับใช้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557ด้วย
ซัดอำนาจครอบจักรวาล
มีความเห็นจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.)กรณีรัฐบาลยืนยันประกาศใช้มาตรา 44 อย่างต่อเนื่อง โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยเห็นว่า มาตรา 44 เขียนไว้เพื่อให้อำนาจหัวหน้า คสช.ออกคำสั่งใดๆไม่ว่าจะมีผลทางนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการเป็นอำนาจครอบจักรวาล เปรียบเทียบได้กับมาตรา 17 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นการใช้อำนาจแบบเผด็จการ เห็นได้จากที่หัวหน้า คสช.เคยใช้ต่ออายุผู้บริหารท้องถิ่น และล่าสุดกรณีตั้งกรรมการแก้ปัญหาของกรมการบินพลเรือน จะเห็นว่ายิ่งกว่ากฎอัยการศึก ในเมื่อสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะขาดการตรวจสอบและการคานอำนาจ จะยิ่งทำให้สถานการณ์การเมืองแย่กว่าเดิม โดยเฉพาะในสายตาชาวโลกที่เริ่มวิพากษ์วิจารณ์
แนะประกาศวันเลือกตั้งกู้เชื่อมั่นได้
เช่นเดียวกับ นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจเข้าใจแล้วว่าการใช้กฎอัยการศึกที่ผ่านมา มีผลกระทบอย่างไรกับประชาชนและประเทศ และคิดว่าถ้ายกเลิกกฎอัยการศึกแล้วอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ แต่ตนเห็นว่ามาตรา 44 ไม่แตกต่างจากกฎอัยการศึก ซ้ำร้ายอาจแย่กว่า สถานการณ์วันนี้เหมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องรีบถอดสลัก โดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เพียงแต่ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งออกมาให้ชัดว่าไทยจะเลือกตั้งวันไหนเท่านี้ก็กู้วิกฤติศรัทธา เรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติได้แน่นอน ใช้แทนมาตรา 44 ได้ทันที
ระทึกหนุ่มน่านปีนตึกทำเนียบฯ
ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุนายเฉลิม สอนนนฐี อายุ 43 ชาวจ.น่าน ปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกกองรักษาการณ์ตำรวจทำเนียบฯ ชูป้ายข้อความร้องเรียนนายกฯให้ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงเกลี้ยกล่อมให้นายเฉลิมลงมาจากดาดฟ้าตึก จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการประชาชนเข้าไปสอบถามจึงทราบว่า มาร้องเรียนปัญหาหนี้นอกระบบที่มีอยู่กว่า 7 แสนบาท เจ้าหน้าที่จึงประสานกระทรวงการคลังและธนาคารออมสินเข้าไปดูแล ก่อนหน้านี้ นายเฉลิมเคยมายื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายกฯ ขอให้สำรวจและออกโฉนดที่ดินที่ตกค้างเมื่อปี 2535 อีกทั้งยังเคยร้องเรียนให้ตรวจสอบโครงการก่อสร้างระบบประปาบาดาลของอบต.หมอเมือง อ.แม่จริมมาแล้ว
วางบึ้มปลอมริมถ.พัฒนาการ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันเดียวกัน พ.ต.ท.ประยุทธ พึ่งเคหา พงส.ผนก.สน.ประเวศ รับแจ้งหตุพบวัตถุต้องสงสัยบริเวณเสาไฟฟ้า ปากซอยพัฒนาการ 65 ถ.พัฒนาการ แขวงและเขตประเวศ กทม. จึงประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) และหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี)เข้าตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด ชนิดโฮ๊คบอม เสียบติดกับเสาไฟฟ้า หลังตรวจอย่างละเอียดปรากฎว่าเป็นของปลอม ทำด้วยแกนกระดาษ 7 แท่งมัดรวมกัน ติดนาฬิกาดิจิตอล มีสายไฟโผล่ออกมาไม่มีการต่อวงจรไว้ ทั้งนี้ ถ้าวัตถุดังกล่าวเป็นระเบิดจริงจะมีน้ำหนักประมาณ 4 ปอนด์ รัศมีทำลายล้างประมาณ 80-100 เมตร เจ้าหน้าที่เร่งตรวจภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีข้อหาข่มขู่ให้เกิดความตกใจกลัว
อ่านข่าว โปรดเกล้าฯยกเลิกกฏอัยการศึก 'บิ๊กตู่'ออกคำสั่งคสช.ฉบับ3แทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี