'วิชา'เผย3คดีคืบหลังสงกรานต์ 'ปู'ลุ้นเยียวยาแดง7.5ล.ผิดกม.?
วันอาทิตย์ ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558, 13.41 น.
Tag :
12 เม.ย. 58 นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำลังดำเนินการไต่สวนในขณะนี้ว่า หลังจากเทศกาลสงกรานต์จะมีคดีที่สังคมให้ความสนใจมีข้อสรุปที่จะแจ้งต่อสาธารณชนได้ว่าอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะคดีที่มีการกล่าวหาว่าทาง ป.ป.ช.สองมาตรฐานก็จะพยายามทำให้จบเพื่อให้เห็นว่า ป.ป.ช.ได้ทำงานอย่างเต็มที่ในทุกคดีเท่าเทียมกัน เช่น คดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวหาพระสุเทพ ปภากโรหรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 หลัง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยอนุมัติให้ สตช.จัดจ้างก่อสร้างอาคารรวมกันในครั้งเดียวเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน การจัดซื้อจัดจ้าง ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และกล่าวหานายสุเทพ ว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 11 และมาตรา 12 เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 19
"คดีดังกล่าวมีการไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้ได้ข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถบอกประชาชนได้ว่าอะไรเกิดขึ้น ส่วนใครจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการกระทำผิดเกี่ยวพันถึงใครบ้าง ผูกพันไปถึงฝ่ายการเมืองด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดจะตัดสินบนพื้นฐานของพยาน หลักฐาน ข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายว่าจะต้องแจ้งข้อกล่าวหาใครบ้าง" นายวิชากล่าว
นายวิชาระบุต่อว่า นอกจากนี้ยังมีคดีเกี่ยวกับกรณีที่มีการร้องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกับ ครม. และพวก 2 ราย ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปลายปี 2548 - พฤษภาคม 2553 รอบแรกจำนวน 524 ราย วงเงินรวม 577 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม - 6 มีนาคม 2555 โดยมีการออกระเบียบและกฎเกณฑ์ขึ้นใหม่ เพื่อที่จะใช้ยังคับกรณีนี้เป็นการเฉพาะ อีกทั้งการออกมติดังกล่าวยังไม่มีกฎหมาย กฎกระทรวง หรือหหลักเกณฑ์มาตรฐานรองรับ เพื่อเป็นการตอบแทนผลประโยชน์แก่พวกพ้องเป็นหลัก โดยเหตุผลที่ ป.ป.ช.ต้องเร่งสรุปสำนวนคดีนี้ เพราะมีความเชื่อมโยงไปถึงผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปลายปี 2556- 2557 จึงต้องทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเยียวยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ฝ่ายบริหารได้ปฏิบัติให้ถูกต้องและดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่อไป สำหรับคดีการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงปี 2553 ที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่าเข้าข่ายถูกถอดถอนทางการเมืองนั้น ก็มีความคืบหน้าตามลำดับ โดย ป.ป.ช.ได้ออกหนังสือเชิญพยานทั้งสองปากที่นายอภิสิทธิ์ อ้างถึง คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาให้ถ้อยคำกับป.ป.ช.แล้ว ส่วนพยานจะเดินทางให้ปากคำด้วยตัวเองหรือส่งเป็นเอกสารชี้แจงมาก็ได้
“สาเหตุที่ ป.ป.ช.อนุญาตพยานทั้งสองปากตามที่นายอภิสิทธิ์ ขอ ก็เพราะไม่เคยมีการอ้างพยานใด ๆ มาก่อน โดยเฉพาะพระสุเทพ ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งบุคคลที่ถูกอ้างถึงก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการควบคุมสถานการณ์ในขณะนั้น จะใจร้ายไม่ให้ได้อย่างไร ซึ่งแตกต่างจากกรณีการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ยับยั้งความเสียหายและการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขอพยานเพิ่มมากมาย ปปช.ก็อนุญาตตามความจำเป็นไป 5-6 ปาก แต่ก็ยังมีการขอเพิ่มมาเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง แต่กรณีอภิสิทธิ์ ขออนุญาตเพียงแค่สองปากที่มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นคงจะมากล่าวหาว่า ป.ป.ช.สองมาตรฐานไม่ให้ความเป็นธรรมกับนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้ เพราะสองกรณีนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งคนที่มีใจเป็นธรรมก็มองเห็นอยู่แล้ว ส่วนคนที่จ้องดิสเครดิตก็ทำลายโดยไม่สนใจความจริง” นายวิชา กล่าว