ปัดโยงทุจริตศธ.
รบ.แจงเด้งฟ้าผ่าปลัดฯ
อ้างวางคนให้เหมาะสม
รับปมรื้อคุรุสภา-สกสค.
สอบพบมีมูลไม่โปร่งใส
นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 เมษายนถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ออกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะ นางสุทธศรี วงษ์สมาน จากตําแหน่ง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็น เลขาธิการสภาการศึกษา และตำแหน่งสำคัญๆอีกหลายคน
โดย นายยงยุทธ กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวต้องแยกเป็น 2 ส่วน โดยในส่วนการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงเป็นเรื่องของความเหมาะสม ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้ง หรือความผิดใดๆ ซึ่งตัวปลัดกระทรวงเองก็บอกไม่ติดใจอะไร จะได้ไปทำงานเดิม เพราะท่านโตมาในสภาการศึกษา มีความรู้ความสามารถด้านการวางแผนอย่างดี คล้ายกลับมาอำลาชีวิตราชการตรงนั้น ขณะที่เรื่องให้คณะกรรมการต่างๆพ้นจากตำแหน่งโดยเฉพาะใน สกสค. นั้น เป็นเรื่องที่คุยกันมานานแล้วในวงการศึกษาว่า ในสกสค.มีนอกมีในอะไรหรือไม่ ซึ่งสังคมข้องใจ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนตรงนี้น่าจะเป็นเรื่องดี ที่จะทำให้มีการสืบสวนออกมาให้ประชาชนได้ทราบความจริงว่า ตกลงแล้วคืออะไรกันแน่
เมื่อถามว่า การโยกย้ายที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ข้าราชการไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวจะถูกตรวจสอบหรือถูกย้ายอีกหรือไม่ นายยงยุทธ ตอบว่า ตอนนี้ยังไม่ได้บอกชัดใครติดในข่ายทุจริตบ้าง จึงอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ขณะที่การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้ ก็เป็นไปในแนวทางที่ดีตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้น ที่ต้องการปรับปรุงการทำงานให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิผลที่ดี และยึดหลักธรรมาภิบาล รวมถึงสะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉย เวลามีคนร้องเรียนทุจริตตรงนั้นตรงนี้ที่ในอดีตเรื่องมักจะเงียบหาย เราไม่อยู่นิ่งเฉย และใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องจัดการ
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำสั่งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการปรับบุคลากรให้เหมาะกับความรู้ความสามารถ จะเห็นว่าคำสั่งที่ออกมานั้น แต่ละบุคคลมีแนวทางการเจริญเติบโตในหน้าที่แบบใด เราก็ปรับให้บุคลากรเหล่านั้น กลับไปปฏิบัติงานตามความถนัดในทิศทางที่ได้เจริญเติบโตมา เพราะที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองได้แต่งตั้งบุคลากรที่ไม่ตรงกับความสามารถ เช่นกรณีของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่ง นางสุทธศรี ถือเป็นบุคคลที่มีความรู้และเติบโตมาจากสภาการศึกษา จึงปรับย้ายให้ไปเป็นเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นต้น ซึ่งที่เพิ่งมาทำในเวลานี้ เพราะถ้ามีการปรับในช่วงที่คสช.เข้ามาขับเคลื่อนประเทศใหม่ๆ อาจถูกมองว่าเข้าไปแทรกแซง จึงได้ทอดเวลาผ่านมาจน 6 เดือน จึงเริ่มดำเนินการ เพราะนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การปรับบุคลากรให้ตรงกับความรู้ความสามารถ จะทำให้การปฏิรูปการศึกษารวดเร็วขึ้น
ส่วนกรณีการปรับเปลี่ยนในคุรุสภาและสกสค. จะเกี่ยวข้องกับการทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่นั้น พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ความจริงแล้ว การทุจริตภายในกระทรวงศึกษา เมื่อมีข้อมูลข่าวสารมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งพบว่ามีความเป็นไปได้ จึงได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ(คตร.)เข้าไปตรวจสอบ แต่ไม่ได้หมายความว่า มีการทุจริตจริงหรือไม่ เพียงแต่มีการร้องเรียนมา ซึ่งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นก็พบว่า มีมูล อาจเป็นไปได้ โดยผู้เกี่ยวข้องต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน เพื่อให้การตรวจสอบทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คงไว้เฉพาะตำแหน่งที่มีความจำเป็น
“การปรับเปลี่ยนตำแหน่งในกระทรวง จะเกี่ยวกับเรื่องรายชื่อ 100 ข้าราชการ ที่พัวพันการทุจริตหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ และขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยว่า 100 รายชื่อมีใครบ้าง ข้อมูลมีอยู่ แต่ต้องตรวจสอบในรายละเอียด”พล.ต.สรรเสริญกล่าว
เมื่อถามย้ำว่า คสช.จะมีคำสั่งลักษณะนี้ออกมาอีกหรือไม่ในกระทรวงที่มีปัญหา พล.ต.สรรเสริญ ตอบว่า เป็นอำนาจของหัวหน้า คสช. อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลเพ่งเล็งกระทรวงหนึ่ง กระทรวงใด เพราะทุกกระทรวงมีปัญหาของตัวเอง ซึ่งได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ถือเป็นอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะตัดสินใจ อย่างไรก็ตามยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจตามมาตรา 44 อย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายตามทิศทางการเมือง แต่คิดถึงเหตุและผลของการปฏิรูป และในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล เพื่อเป็นคำตอบกับประชาชนได้
ด้าน นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีต รมว.ศึกษาธิการ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การใช้มาตรา 44 โยกย้ายหรือกระทำใดๆ เป็นการวางมาตรฐานกฎหมายใหม่ในอนาคต หากไม่มีใครมาลบล้างกระบวนการมาตรา 44 จะมีอำนาจเหนือนิติบัญญัติ ตุลาการ ฉะนั้นการจะใช้มาตรา 44 ต้องระมัดระวัง การโยกย้ายแบบนี้เหมือนวางกฎหมายที่เหนือกว่าศาลฎีกา เหนือกว่ากฎหมายนิติบัญญัติ เป็นอำนาจบริหารที่สูงสุด หากวางมาตรฐานเช่นนี้ จะทำให้รัฐบาลต่อๆ ไป หากจะโยกย้ายใคร ก็จะอ้างกฎหมายของ คสช.ว่าสามารถดำเนินการได้ เหมือนนำคำตัดสินของศาลฎีกามาเทียบเคียง เป็นการวางมาตรฐานใหม่ของประเทศ ซึ่งอันตรายมาก ถ้าไม่มีใครยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ ผู้บริหารประเทศ ก็จะสามารถโยกย้ายคนได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูกก็ตาม
“ความจริงกรณีนี้ใช้เพียงมติ ครม.ก็ได้ มาตรา 44 ควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น แต่รัฐบาลอาจกลัวว่าหากใช้มติ ครม. จะมีการร้องเรียนตามมาได้ และคงกลัวว่าจะโดนข้อหาผิดทั้ง ครม.เหมือนที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(คสช.) จึงใช้มาตรา 44 แทน เพราะอำนาจตามมาตรา 44 ไม่มีใครฟ้องร้องได้ เป็นการวางมาตรฐานที่ยาวไปถึงอนาคต และย้อนหลังไปถึงอดีต ที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผิด ก็ไม่ผิด เพราะคุณออกกฎหมายมาแล้ว คุณวางมาตรฐานใหม่ว่า ครม.สามารถโยกย้ายได้ทั้งหมด เป็นการวางมาตรฐานที่เกินความจำเป็น ทำให้การวางมาตรฐานบิดเบี้ยว และทำให้คนรู้สึกไม่ดี” นายวรวัจน์ กล่าว
ขณะที่ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี กล่าวชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจมาตรา 44 โยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ และไม่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจมากเกินไป เพราะไม่ได้ไล่ออก แต่เป็นการโยกย้าย
“ผมสนับสนุนกับการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมืองที่มีมากเกินกว่าที่ขั้นตอนปกติจะจัดการได้ ซึ่งเท่าที่ดูก็ยังไม่เห็นว่านายกฯ จะใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง หรือเกินตัว แต่สิ่งที่จะต้องระวังคือ นายกฯ จะต้องทำให้สมดุล ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เอียงข้างเข้าฝั่งใดฝั่งหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นการเมือง ซึ่งนอกจากปัญหาของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ผมเรียกร้องให้จัดการกับการบุกรุกป่าทุกโครงการให้จริงจัง การโซนนิ่ง จัดระเบียบการก่อสสร้างอาคารต่าง ๆ ซึ่งกฎหมายปกติทำไม่ได้ รวมถึงปัญหาหวยแพง ถ้าท่านทำได้ แม้จะใช้อำนาจที่ได้มาไม่ปกติ แต่ ทานจะได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษแน่นอน”นายสิงห์ชัย กล่าว.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี