พธม.สู้คดีฝ่าพรบ.ความมั่นคงฯ ให้การปฏิเสธ-สืบพยานลับหลัง
วันจันทร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558, 13.01 น.
Tag :
20 เม.ย. 58 ที่ศาลแขวงดุสิต ถ.บรมราชชนนี ศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลย คดีดำ อ.607/2548 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (ดุสิต) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายประพันธ์ คูณมี, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สมณะโพธิรักษ์ , นายสุริยะใส กตะศิลา, นายเทิดภูมิ ใจดี, นายพิภพ ธงไชย, นายรัชต์ยุตม์ หรืออมร ศิรโยธินภักดี, นายทศพล แก้วทิมา แกนนำพันธมิตรฯ และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ รวม 10 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนประกาศและข้อกำหนดห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่หรือสถานที่ที่กำหนด ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
กรณี เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2554 คณะรัฐมนตรี(ครม.) สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศให้พื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตปทุมวัน เขตดุสิต และเขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตราชเทวี เป็นพื้นที่มีเหตุการณ์กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งจำเลยทั้ง 10 คนได้ร่วมกันตั้งเวทีชุมนุมและปิดการจราจรบนถนนถนนราชดำเนินนอก บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ โดยใช้ชื่อกลุ่มเครือข่ายประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ก็ได้ตั้งแต่เวทีชุมนุมที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และบรรดาแกนนำได้สลับกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการบริหารประเทศของรัฐบาล ถึงความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
เหตุเกิดที่ แขวงดุสิตและเขตดุสิต กทม.
โดยวันนี้จำเลยทั้ง 10 คน เดินทางมาศาล จากนั้นศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้พวกจำเลยฟัง และสอบถามว่า จะให้การอย่างไร ซึ่งจำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ ทั้งนี้พวกจำเลยได้แถลงขอสืบพยานคดีลับหลัง ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตตามที่จำเลยร้องขอ และนัดตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลังนายประพันธ์ คูณมี กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีเหตุรุนแรง ไม่มีการเผา ไม่มีการจลาจล ก็เลยต้องโดนหางเลขไปด้วย ทั้งนี้ขอยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพราะเป็นการชุมนุมรวมพลังเพื่อปกป้องแผ่นดิน โดยเรียกร้อง 3 ข้อ คือให้ยกเลิกเอ็มโอยู พ.ศ.2543ให้รัฐบาลถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกและให้ทหารขณะนั้นขับไล่ทหารและพลเรือนกัมพูชาที่ยึดครองแผ่นดินไทยบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จะเห็นว่าเราชุมนุมเพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศเป็นหลัก จึงไม่รู้สึกกังวลในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด ขณะเดียวกันฝ่ายอัยการโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานที่จะนำสืบ จำนวน 67ปาก ส่วนฝ่ายจำเลยได้ยื่นบัญชีพยานไว้ 23 ปาก ซึ่งนัดหน้าศาลจะตรวจพยานหลักฐานว่าจะมีข้อเท็จจริงใดที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้บ้าง เพื่อให้การพิจารณาคดีรวดเร็วขึ้น