21 เม.ย.58 เข้าสู่วันที่ 2 ของการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งมีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) ที่รัฐสภา ซึ่งเป็นการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของราชอาณาจักรไทย
ล่าสุด ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ได้ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ โดยระบุว่า ได้เสนอข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปการเมืองใหม่หมดอย่างแท้จริง ก้าวหน้ากว่า ดีกว่า ยั่งยืนกว่ารัฐธรรมนูญฉบับ คสช.มากมาย ซึ่งสรุปได้ว่า เสนอการปฏิรูปการเมืองไทย ให้เป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งนำเสนอโครงสร้างหลักของอำนาจนิติบัญญัติ และ อำนาจบริหาร ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาทิ
-ยกเลิกระบบพรรคการเมือง โดยให้ประชาชนสามารถสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งทางการเมืองต่างๆโดยเสรี หรืออาจรวมกลุ่มกันในทางการเมืองเพื่อสมัครร่วมกัน โดยไม่มีกฎหมายบังคับ
-เป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มี 2 สภา
-วุฒิสภา วาระ 6 ปี มีสมาชิก 100 คน ซึ่งมาจากแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ แต่ไม่มีอำนาจเสนอกฎหมาย มีอำนาจกลั่นกรอง ตรวจสอบ และให้คำแนะนำต่อสภาผู้แทนราษฎร
-สภาผู้แทนราษฎร วาระ 5 ปี มีสมาชิกไม่เกิน 300 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนแต่ละจังหวัด เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตทั้งจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกัน มีอำนาจเสนอกฎหมายเอง และพิจารณากฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี
-คณะรัฐมนตรี วาระ 4 ปี มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน โดยสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กลั่นกรองและคัดเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครขั้นต้นทั้งหมดให้เหลือตำแหน่งละ 10 คณะผู้สมัคร
-คณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ทั้งสองสภาจึงมีอายุตามวาระเสมอไป
รัฐสภามีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่มีอำนาจถอดถอนรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
ให้ยกเลิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ให้คงไว้ซึ่งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มิใช่องค์การบริหารส่วนจังหวัด คือ อบต., เทศบาล, และกำนันผู้ใหญ่บ้าน และพิ้นที่พิเศษ คงไว้ตามเดิม
รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา
วุฒิสภา มีสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 100 คน มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ตามการถวายคำแนะนำขององคมนตรี วาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี โดยมีอำนาจหน้าที่ อาทิ
1.พิจารณากลั่นกรอง แก้ไข และให้คำแนะนำ ต่อร่างพระราชบัญญ้ติและงานอื่นที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร ส่งต่อมายังวุฒิสภาเพื่อการกลั่นกรอง ตามรัฐธรรมนูญ
2.กำกับดูแลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผ่านกระบวนการทำงานในวุฒิสภา เช่น การตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย และการทำงานของกรรมาธิการ ฯลฯ
3.ประชุมร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร
4.วุฒิสภามีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่เกิน 300 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี โดยอำนาจหน้าที่
1. เสนอกฎหมาย
2. พิจารณากลั่นกรอง แก้ไข ร่างพระราชบัญญ้ติ ที่เสนอมาจากรัฐบาล
3.กำกับดูแลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผ่านกระบวนการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร
4.ประชุมร่วมกับวุฒิสภา
5.สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง และให้ประชาชนที่มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมีสิทธิโดยอิสระเสรีในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดต่างๆได้ โดยไม่จำกัดภูมิลำเนา และไม่จำเป็นเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใด เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วให้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่ทำงานในตำแหน่งบริหารในคณะรัฐมตรีและในระบบราชการใดๆทั้งสิ้น
จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเขตเลือกตั้ง
1.จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คิดเป็นสัดส่วนจำนวนประชากร 300,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน แต่ต้องไม่เกิน 300 คน
2.จังหวัดที่มีประชากรไม่ถึง 300,000 คน มีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน
3.จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งทั้งจังหวัด เป็นเขตเดียว ประชาชนทั้งจังหวัดเลือกผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีได้ในจังหวัดของตน ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดตามลำดับ ถือว่าได้รับการเลือกตั้ง
กระบวนการเลือกตั้ง
1.ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง
2.ประชาชนที่มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
3.ผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง ให้ยื่นใบสมัครที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ณ จังหวัดที่ประสงค์จะเป็นผู้แทนราษฎร โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่เกิด ภูมิลำเนา หรือสถานที่อยู่
4.เอกสารประกอบการสมัครให้เป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง และจะต้องมีเอกสารอธิบายประวัติชีวิตและงาน แสดงรายละเอียดว่าด้วยความเป็นพลเมืองดี มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ วิสัยทัศน์ แนวนโยบาย ต่อการพัฒนาประเทศและสังคมอย่างบริบูรณ์ เอกสารดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความจริง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของประชาชน และมีความยาวอย่างน้อย 10 หน้า และไม่เกิน 20 หน้า
5.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบคุณสมบัติและความถูกต้องของข้อมูลของผู้สมัครตามกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อรับสมัครแล้ว ให้นำข้อมูลนั้น เผยแพร่ในระบบสารสนเทศ (internet website) ที่ กกต. จัดทำขึ้น พร้อมทั้งพิมพ์เป็นรูปเล่มเอกสารกระดาษ ส่งตรงถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน ล่วงหน้าอย่างน้อย 90 วัน ก่อนวันเลือกตั้ง
6. การหาเสียงให้ทำได้ดังนี้
(1) ผู้สมัครสามารถหาเสียง แนะนำตัว เสนอแนะวิสัยทัศน์ และ นโยบาย ได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องรอช่วง 90 วันสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง
(2) การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยเสรี ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (internet website) ที่ผู้สมัครจัดทำขึ้นเอง และที่ กกต.จัดทำให้
(3) การจัดประชุมสัมมนา อภิปราย ปราศรัย หรือการสื่อสารสาธารณะในรูปแบบต่างๆในห้องประชุม หรือสถานที่สาธารณะกลางแจ้ง ตามที่ผู้สมัครได้รับเชิญจากประชาชน และที่ผู้สมัครจัดประชุมขึ้นเอง
(4) การจัดเวทีประชุมหรือการชุมนุมในที่สาธารณะต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของ กกต.
(5) ห้ามมิให้มีการติดป้าย โปสเตอร์ หรือภาพสัญลักษณ์ที่เป็นการหาเสียงใดๆในที่สาธารณะ
ฯลฯ
คณะรัฐมนตรี
องค์ประกอบ
นายกรัฐมนตรี 1 คน
รองนายกรัฐมนตรี 4 คน ประกอบด้วย
1. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองและความมั่นคง
2. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ
3. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายสังคม การศึกษา และวัฒนธรรม
4. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกิจการทั่วไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ กระทรวงละ 1 คน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ กระทรวงละ 2 คน
อ่านฉบับ http://www.thaivision.com/political-reform.html
ข้อเสนอของ ดร.สมเกียรติ จะเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน ภายในวันศุกร์ที่ 24 เม.ย.58 จะได้ลุ้นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี