ค้านนายกฯคนนอก-ที่มาสว.
สปช.ถล่มยับ
ซัด5จุดเสี่ยงรธน.ก่อขัดแย้ง
ทุบสมดุลนิติบัญญัติ-บริหาร
ฉะรบ.ผสมเอื้อต่อรองโควตา
ม.182เปิดช่อง‘นิรโทษกรรม’
วิษณุรับลูกศาลทบทวน7ปม
เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) พิจารณาเสร็จแล้ว เป็นวันที่ 2 ซึ่งเริ่มอภิปรายในภาค2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี โดยมี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม
‘สมบัติ’ชี้5จุดเสี่ยงขัดแย้งอีก
จากนั้น นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช.อภิปรายว่า ส่วนตัวคิดว่ามีจุดเสี่ยงอยู่ 5จุด คือ จุดที่ 1 ขาดความสมดุลระหว่างอำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะร่างรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ ผ่านการให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับรองเสนอกฎหมายการเงินต่อสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับว่านายกฯมีอำนาจสั่งสภาฯได้ ในทางกลับกันฝ่ายนิติบัญญัติกลับไม่มีอำนาจเสนอกฎหมายการเงิน มีอำนาจแค่เสนอกฎหมายปกติเท่านั้น เช่นเดียวกับมาตรา182 ที่ให้อำนาจนายกฯเสนอกฎหมายที่เป็นนโยบายสำคัญต่อสภาฯและหากสส.ไม่เสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจภายใน 48 ชั่วโมง จะมีผลให้กฎหมายดังกล่าวผ่านการเห็นชอบของสภาฯ หมายถึงว่ารัฐบาลในอนาคตเสนอสภาฯให้ความเห็นชอบกฎหมายนี้ ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยจะเกิดอะไรขึ้น ฝ่ายค้านก็ทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นจุดชนวนที่ทำให้ประชาชนออกมาบนท้องถนนอีกหรือไม่ อยากฝากให้ไปไตร่ตรอง
รบ.ผสมปมต่อรองโควต้ารมต.
นายสมบัติ กล่าวว่า จุดเสี่ยงที่2 การออกแบบรัฐบาลผสมที่ไม่เข้มแข็ง ความเสี่ยงน่าจะมาจากนำระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมมาใช้ ซึ่งปัญหานี้มีอยู่ 2ทาง คือ ทางที่1 มีพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่ได้รับเสียงในสภาฯเกินกึ่งหนึ่งมาเล็กน้อย จะก่อให้เกิดสภาพที่พรรคการเมืองมีอำนาจมาก เช่น รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและทางที่2 ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเกินกึ่งในสภาฯ แบบนี้จะเกิดสภาพพรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลาง ต่อรองกับพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ก่อให้เกิดระบบโควตาแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรี นโยบายการบริหารประเทศจะขาดความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพและเป็นช่องนำไปสู่การทุจริตเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งต่อไป
แบ่งอำนาจขัดหลักการปชต.
จุดเสี่ยงที่ 3 การนำหลักการแบ่งแยกอำนาจในระบบประธานาธิบดีมาใช้กับระบบรัฐสภา การกำหนดให้นายกฯและรัฐมนตรีต้องไม่เป็น สส.ทั้งนี้ ปรัชญาเดิมมีหลักการที่ต้องให้ฝ่ายบริหารสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับประชาชน จึงจำเป็นต้องให้นายกฯและรัฐมนตรีเป็นสส.ซึ่งเป็นหลักการที่อยู่ในรัฐธรรมนูญปี2550 แต่เมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดข้อห้ามดังกล่าวเอาไว้ เท่ากับว่า เป็นการขัดกับหลักการที่ต้องให้ฝ่ายบริหารเชื่อมโยงกับประชาชน
ถอดถอนเหลว-แนะใช้วิธีใหม่
จุดเสี่ยงที่ 4 กลไกตรวจสอบอ่อนแอ โดยเฉพาะการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยใช้ได้ผล จึงควรมีมาตรการให้สส.1ใน10ของสภาฯ เข้าชื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือรัฐบาลที่ประพฤติมิชอบ โดยให้เชิญอดีตอัยการสูงสุดมาทำหน้าที่ประธาน ซึ่งต้องไต่สวนด้วยความรวดเร็ว หากผลออกมาพบว่ามีความผิดอาญาก็ให้ประธานวุฒิสภาส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา กลไกจะรวดเร็วกว่าดำเนินการผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)
ที่มานายกฯไม่เชื่อมโยงปชช.
จุดเสี่ยงที่5 การกำหนดให้นายกฯไม่จำเป็นต้องเป็นสส.ในร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้คนที่ไม่ได้เป็นสส.จะเป็นนายกฯได้ก็ต่อเมื่อสภาฯมีมติด้วยเสียง 2ใน3 แต่หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถเลือกนายกฯได้ตามเวลาที่รัฐธรรมนูญอาจเป็นผลให้คนภายนอกที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกฯได้ ขณะเดียวกันระบบนี้จะมีปัญหาสำคัญตรงที่หากนายกฯคนนอกเลือกคนนอกมาเป็นรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญห้ามสส.มาเป็นรัฐมนตรี แบบนี้เท่ากับว่า ฝ่ายบริหารไม่มีส่วนใดมาเชื่อมโยงกับประชาชนโดยตรงเลย เหลือเพียงฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้นที่เชื่อมโยงกับประชาชน
ตั้งคนนอกเสียบต้องเขียนให้ชัด
“กลายเป็นว่าฝ่ายที่ไม่ได้มาจากประชาชนนี่แหละเป็นฝ่ายที่มีอำนาจสูงสุด ตรงนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ในเมื่อรัฐธรรมนูญต้องการให้พลเมืองเป็นใหญ่ แต่อนุญาตให้คนมาเป็นนายกฯได้โดยไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง มันจะขัดแย้งกันอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่านายกฯคนนอกเห็นว่ามีความจำเป็นควรกำหนดหลักการให้ชัดเจนว่า ต้องเลือกสส.เป็นนายกฯแต่ให้เขียนไว้ในบทเฉพาะกาลแทน พร้อมกับวางเงื่อนไขและความจำเป็น”นายสมบัติ กล่าว
‘เสรี’อัดไม่ตอบโจทย์ปัญหาปท.
ขณะที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน กมธ.ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช.อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหามากเกินไป สามารถนำรายละเอียดไปใส่ในกฎหมายลูก หรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีเนื้อหาสั้น กระชับ เหมือนหลายประเทศ ส่วนตัวเห็นว่า เมื่อนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปใช้จะเกิดปัญหามากมาย เพราะสิ่งที่ กมธ.ยกร่างฯเสนอมายังตอบโจทย์ไม่ได้ เช่น ระบบการเลือกตั้งที่ให้มี สส.เขตและบัญชีรายชื่อนั้น คิดว่าควรมี สส.เขตอย่างเดียว เพราะสส.บัญชีรายชื่อในร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่ต่างจาก สส.เขต เพราะประชาชนมีสิทธิระบุชื่อคนเป็น สส.บัญชีรายชื่อได้ ทำให้ผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อ และอยากเป็น สส.ต้องไปซื้อเสียง โดยกำหนดให้เขตเลือกตั้งหนึ่งมี สส.ได้อย่างน้อย 2คน ไม่ใช่เขตเดียวเบอร์เดียว เพราะการให้มี สส.อย่างน้อยเขตละ 2คน คนที่แพ้การเลือกตั้ง ก็จะพอมีตัวแทนอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว คนที่แพ้ จะไม่มีตัวแทนอยู่เลย
กลุ่มการเมืองลงลต.ได้ป่วนแน่
นายเสรี กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งโดยมี สส.หลายพรรค จะเป็นรัฐบาลผสม โดย กมธ.ยกร่างฯบอกว่าจะทำให้การเมืองเข้มแข็งนั้น ขัดกับเหตุผล รวมถึงการให้กลุ่มการเมืองสมัคร สส.ได้ จะเกิดปัญหา เพราะที่ผ่านมากลุ่มการเมืองมีส่วนทำความแตกแยก ถ้าออกกฎหมายให้กลุ่มการเมืองเล่นการเมืองได้ คนกลุ่มนี้จะไปตั้งกลุ่มขึ้นมา ทั้งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) คนเหล่านี้มีฐานเสียงเป็นสิบล้านคน ทำให้พรรคการเมืองหมดความหมาย ต่อไปคนที่จะตั้งรัฐบาลจะเป็น นปช.กปปส.นายกฯ อาจเป็น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.หรือถ้าพระสุเทพ ไม่สึก ก็จะมีตัวแทน กปปส.เป็นนายกฯ
สงสัยสว.วิชาชีพน้อยกว่าทหาร
ขณะที่ นายทรงชัย วงศ์สวัสดิ์ สปช.ลำพูน อภิปรายว่า มาตรา121 เรื่อง สว.ที่แบ่งที่มา 5ส่วนไม่เกิน 200คน ส่วนที่1 เป็นอดีตข้าราชการพลเรือน ตั้งแต่ปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่า 10คนและข้าราชการทหาร ระดับปลัดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้เลือกกันเองประเภทละไม่เกิน 10คน รวม 20คน ขณะที่ผู้แทนวิชาชีพด้านอื่นๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตรเป็นบุคคลส่วนมากของประเทศแต่กำหนดให้กลุ่มวิชาชีพนี้มีไม่เกิน 30คน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านอื่นๆไม่เกิน 58คน ที่มาจากจังหวัดอีก 77คน อยากถามว่า การกำหนดจำนวนสว.ใช้เกณฑ์ใดตัดสินและอยากถามว่า ทำไมเกษตรกรผู้ใช้แรงงานถือเป็นคนส่วนใหญ่ทำไมได้สัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับอดีตข้าราชการพลเรือนและทหาร
“รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเป็นใหญ่ เวลาจะเลือกสว.กลับถูกจำกัดโดยคนไม่กี่คน เช่น ส.ว.เลือกตั้ง 77คน ที่ต้องผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองให้เหลือ 10คน ก่อนให้ประชาชนเลือก ผมสอบถามว่า การเลือกหรือกลั่นกรอง ใครเป็นผู้มีอำนาจตัดสินและเมื่อกลั่นกรองแล้วผู้ที่ถูกตัดออก เขามีสิทธิฟ้องร้องได้หรือไม่ เรื่องเหล่านี้อยากสอบถาม กมธ.ยกร่างฯ”นายทรงชัย กล่าว
‘ดิเรก’ค้านตั้งนายกฯคนนอก
นายดิเรก ถึงฝั่ง สปช.นนทบุรี กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับที่มานายกรัฐมนตรี ที่ให้มาจากคนนอกได้ เว้นแต่กรณีเกิดวิกฤต แต่ต้องเขียนไว้ในบทเฉพาะกาลให้ชัดเจน หากเขียนแบบนี้จะทำให้มีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงได้ นอกจากนี้ไม่เห็นด้วยกับระบบการเลือกตั้งแบบผสม เนื่องจากไม่ได้ทำให้รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น มีแต่อ่อนแอลง ประเทศไม่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ มีแต่จะเป็นการแย่งอำนาจและประเทศพัฒนาต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงต้องมีความเข้มแข็ง
ไม่ขัดสว.เลือกตั้งหมดแค่ดูกม.
นายดิเรก กล่าวอีกว่า หาก สว.เป็นไปตามที่ กมธ.ยกร่างฯ ได้ร่างไว้ยืนยันว่า จะมีการทะเลาะกันแน่และเลือกตั้งเสร็จจะต้องแก้รัฐธรรมนูญแน่นอน เมื่อแก้ก็ต้องมีคนออกมาประท้วงและอีกไม่กี่ปีก็จะปฏิวัติรัฐประหารกันอีก ถ้าให้ สว.มีหน้าที่ถอดถอนและออกกฎหมายอีก สว.ก็ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ข้อกังวลว่าหากเลือกตั้ง สว.ทั้งหมดจะมีฐานเดียวกับนักการเมืองนั้น ตนอยากบอกว่า ประชาชนก็มีอยู่แค่นี้ ซึ่งเราก็ต้องสอนว่า หน้าที่ของประชาชนคืออะไร ถ้าอยากให้ สว.มาจากสรรหาทั้งหมด ก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องทำหน้าที่แค่พิจารณากฎหมาย
‘รสนา’หวั่นขรก.ถูกครอบงำด้วย
ทางด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล สปช.ด้านพลังงาน ได้อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาไม่ได้แก้ไขปัญหาของประเทศ แต่กลับสร้างพรรคการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายขนาดใหญ่ ชักนำกลุ่มทุนเข้ามาครอบงำการเมือง เรียกว่า”ทุนสามาลย์”จนนำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯ จึงได้ออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมทางการเมืองดังโครงสร้างและกลไกในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คือการจำกัดอำนาจนักการเมือง โดยนำระบบราชการมาถ่วงดุลนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเกิดคำถามตามมาว่า ข้าราชการจะถูกคอรบงำด้วยกลุ่มทุนหรือไม่ ดังนั้นตัวบ่งชี้การเมืองที่ดีจะต้องมีการทุจริตคอร์รัปชั่นน้อย ไม่ใช่การนำระบบข้าราชการมาปรับใช้
“มาตรา207 การตั้งกรรมการคัดสรรข้าราชการระดับสูงดิฉันคิดว่าสุดโต่งเกินไป ซึ่งอาจจะบัญญัติให้รัฐมนตรีกระทรวงนั้นเข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนั้นถ้ายึดระบบคุณธรรมไม่ใช่อาศัยเพียงอดีตข้าราชการระดับสูงมาคัดสรร แต่ควรฟังเสียงประชาคมในแต่ละกระทรวง”น.ส.รสนา กล่าว
‘วิษณุ’รับ7ข้อเสนอศาลส่งกมธ.
มีความเห็นจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กรณี 7ข้อเสนอของศาลยุติธรรมที่เห็นต่างกับเนื่องหาร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ศาลเตรียมส่งข้อเสนอดังกล่าวมาให้รัฐบาล เนื่องจากเขาไม่สิทธิ์จะขอแก้ ซึ่งเมื่อส่งมาแล้วรัฐบาลก็จะกลั่นกรองอีกครั้ง เพื่อเป็นข้อมูลไปสู่ขั้นแปรญัตติ ไม่ใช่ว่าจะเอาตามที่เขาเสนอมาทั้งหมด ในส่วนข้อเสนอ7ข้อของศาลยุติธรรมนั้น ที่ตนอ่านจากหนังสือพิมพ์บางข้ออาจไม่มีอะไร เป็นการเสนอขึ้นมา แต่บางข้อเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับเขาจริงๆ แต่ตนแปลกใจว่าทำไมบางเรื่องน่าแก้ไขแต่ไม่มีอยู่ใน 7ข้อเสนอ เช่น การให้เปลี่ยนประธานศาลฎีกาในทุกๆกี่ปี่ ทำไมเขาไม่ท้วง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของสมบัติผลัดกันชม
‘พระสุเทพ’เชื่อบิ๊กตู่ปฏิรูปสำเร็จ
ด้าน พระสุเทพ ปภากโร กล่าวถึงกรณีร่างรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ว่า ประเทศจะมีความสันติสุขได้ถ้าคนมีธรรมะเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ผู้สื่อข่าวถามว่า ให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า ให้กำลังใจเสมอ ทั้งนายกฯ สนช.และสปช.ให้เขาทำกันให้เรียบร้อย ปฏิรูปประเทศให้ได้อย่างที่ประชาชนต้องการ เมื่อถามย้ำว่า ยังเชื่อมืออยู่หรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า “เชื่อมือ ศรัทธา มั่นคง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี