จ่อใช้ม.44‘เปิดกรุ’รอ
เด้งขรก.โกง
ตั้งแต่ซี3-11หนาวแน่
บิ๊กตู่ลั่นจำเป็นต้องทำ
แง้มบัญชีดำมีถึงรุ่น3
จับตา30เรื่องอื้อฉาว
ธาริตลุ้นยืดแจงปปช.
เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.) โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม และประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง
“บิ๊กตู่”ย้ำจำเป็นใช้ม.44ปราบโกง
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำในที่ประชุมถึงความจำเป็นในการใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อเร่งรัดในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นเพราะหากใช้กระบวนตามระบบมีความล่าช้า ดังนั้น
การมาตรา 44 จึงช่วยปลดล็อกต่างๆให้การทำงานเร็วขึ้นเพราะรัฐบาลมีเวลาจำกัดในการทำงาน แต่การใช้มาตรา 44 ต้องให้ความเป็นธรรม รัดกุม และถูกต้องขณะเดียวกันถ้าพบว่ามีผู้กระทำความผิด หรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตก็ต้องดำเนินคดี
ยอมรับระบบยุติธรรมถูกครอบงำ
พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า การทำงานมีปัญหามาก เนื่องจากที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมถูกครอบงำ ทำให้การทำงานต่างๆ ไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ถึงวันนี้ข้าราชการทุกคน ต้องทำงานก็เข้าใจว่าระบบนี้มีมานานแล้ว หากมีปัญหาอะไรติดขัดก็ขอให้แจ้งมา จะได้หารือกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง
เหิรฟ้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชีย
จากนั้น เวลา14.30น.นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพฯไปยังท่าอากาศยานนานาชาติ Halim Perdanakusuma กรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา ตามคำเชิญของ นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 21– 23 เมษายนนี้ ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
ขรก.หนาว!ยังมีรุ่น2ถึงรุ่น3
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย แถลงภายหลังประชุม คตช. ว่ารายชื่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ที่ส่งให้นายกรัฐมนตรีนับ100รายชื่อนั้น ถือว่าอยู่ในขั้นที่จะต้องดำเนินการทางปกครองและวินัย คืออาจจะต้องพักงาน หรือโยกย้ายเปลี่ยนหน้าที่จำนวนมาก พวกนี้ถือเป็นรุ่นที่ 1จากนี้รุ่นที่2และรุ่นที่3 ตามมา
ทั้งนี้รายชื่อทั้งหมดมาจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ที่ได้ตรวจสอบอยู่แล้ว ก่อนที่ คสช.จะเข้ามา แต่อาจมีเหตุผลบางประการทำให้บางเรื่องเงียบไป
จับตาดูคดีใหญ่30เรื่องโดนแน่
“เมื่อรัฐบาลนี้ให้ความมั่นใจว่า การดำเนินการทั้งหมดไม่ต้องการไปแก้แค้นหรือเล่นงานใคร ใครไม่ผิด ก็ปล่อยไป ใครที่ผิด ก็ดำเนินการ จึงมีการส่งรายชื่อ พฤติกรรมมายังคณะทำงานที่ตั้งขึ้น แต่เรายังปักใจ ไม่ได้ว่าพวกเขาทุจริต เพราะ ถ้าทุจริต ก็ต้องมีการฟ้องร้องดำเนินคดี ก่อนหน้านี้ผมได้เคยรายงานในที่ประชุมแม่น้ำ5สายว่ามีคดีใหญ่ๆที่รัฐบาลจับตาดูอยู่ประมาณ30เรื่อง”นายวิษณุย้ำ
โยกย้ายนอกฤดูกาลมากขึ้น
และว่ารายชื่อในมือนายกฯวันนี้ เป็นข้าราชการจึงต้องหาวิธีการจัดการ บางคนอาจไม่ต้องทำอะไร เพราะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่บางพวกหากให้อยู่ในหน้าที่เดิมต่อไป อาจเป็นปัญหาเข้าไปยุ่งพยานหลักฐานจนทำให้เสียรูปคดี หรือเป็นปัญหาทางปกครองที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจไม่เชื่อถือผู้บังคับบัญชาที่ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาใหญ่ จึงต้องจัดการในเชิงบริหารคือ การโยกย้าย สับเปลี่ยนหน้าที่
“จากนี้ไปจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายนอกฤดูกาลเกิดมากขึ้น เพื่อจัดการกับคนบางประเภท ปกติจะโยกย้ายช่วงเดือนตุลาคม ส่วนการโยกย้ายช่วงเมษายนจะมีแค่ตำรวจ ทหารโดยการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นจะทำกับบุคคล 3 ประเภทคือ 1.ทดแทนตำแหน่งที่ว่าง 2.สับเปลี่ยนเพื่อประสิทธิภาพของงานและ3.คือผู้ที่ถูกส่งรายชื่อมาแต่ต้องย้ำว่ายังไม่ถึงกับการทุจริต”นายวิษณุ ย้ำ
ตั้งแต่ซี3-ซี11สะดุ้งเป็นแถว
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่ารายชื่อ 100 กว่าคนนั้น พบว่ามีตั้งแต่ระดับซี 3 ถึง ซี 11 เรียกว่า มีตั้งแต่ผู้น้อย ถึงผู้ใหญ่ อยู่ในขั้นต้องจัดการทั้งหมดหรือไม่ อาจจะมีทั้งพวกที่ปล่อยให้อยู่ที่เดิม หรือกลุ่มที่อาจจะมีปัญหาต้องโยกย้ายอาจทำตามช่องทางปกติ เข้าที่ประชุม ครม.หรือ บางกรณีเป็นข้าราชการระดับสูง อาจหาตำแหน่งรองรับปกติยาก ต้องเอาออกจากกระทรวงที่สังกัด โดยหาตำแหน่งมารองรับ
เล็งใช้ม.44เปิดตำแหน่งรองรับ
“ดังนั้นหัวหน้า คสช.อาจต้องใช้อำนาจตาม มาตรา44 เพื่อสร้างตำแหน่งใหม่รองรับโดยเอาคนเหล่านี้ออกมา และให้หลักประกันว่าเป็นมาตรการชั่วคราว เมื่อสอบสวนแล้วพบว่าไม่มีความผิดก็กลับไปดำแหน่งเดิม แต่ถ้าผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งนี้การใช้อำนาจตามมาตรา 44 โยกย้ายข้าราชการนั้นเนื่องจากหากใช้กระบวนการตามปกติจะเกิดความล่าช้า กว่าคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)จะอนุมัติ อาจใช้เวลาหลายเดือน”นายบวิษณุ กล่าว
เปิดกรุนายกฯรอไม่ให้ทำที่เดิม
ส่วนตำแหน่งที่จะให้บุคคลที่โดนโยกย้ายออกเข้ามาทำหน้าที่นั้น รัฐบาลกำลังตัดสินใจ แต่ไม่ให้อยู่กระทรวงเดิมแน่นอน ทุกคนจะมาประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรี อาจเป็นที่ปรึกษานายกฯ ตนไม่อยากใช้คำว่าโกง เพราะหลายคนสุดท้าย เขาก็ไม่ได้ผิดอะไร วันนี้ปัญหาของการทุจริต คือคนไทยเห็นแก่หน้ากัน ไม่กล้าทำอะไรกันมาก ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องการ คือ ทำให้การตรวจสอบการทุจริตมีความศักดิ์สิทธิ์ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง จะเชื่อมโยงกับการปฏิรูป
นายกฯให้ส่งชื่อขรก.ส่อโกงเพิ่ม
นายวิษณุ ยอมรับว่า ไม่ห่วงข้าราชการระดับล่าง เท่าข้าราชการระดับบนรวมถึง นักการเมืองด้วย นักการเมืองไม่มีโทษทางวินัย และเราจะไปโยกย้าย เขาไม่ได้ หากจะจัดการ ต้องมีการฟ้องร้องเพียงอย่างเดียว ส่วนข้าราชการ สามารถโยกย้ายได้ ซึ่งนายกฯได้มอบคำสั่งว่า หากนายกฯกลับจากการปฏิบัติภารกิจระหว่างประเทศแล้ว หน่วยงานต่างๆสามารถส่งรายชื่อข้าราชการที่ส่อว่าทุจริตเข้ามาได้อีก
เน้น4 มาตรการปราบโกง
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ในการทำงานตรวจสอบการทุจริต นายกฯได้เน้นมาตรการ4 ขั้นตอนจากเบาสุดไปหาหนักสุด คือ 1.มาตรการเบาสุด คือ ทำให้ผู้กระทำผิด หรือผู้ที่มีแนวโน้มกระทำผิด ต้องยั้งคิด คือหยุดนึกว่า ถ้าทำต่อจะเสียหาย 2.การตรวจสอบโดยป.ป.ง ,ป.ป.ท., สตง.และคตร. 3.ย้ายออกจากจุดที่ล่อแหลม หรือ หาหลักฐานดำเนินคดี ซึ่งบางคนปล่อยได้ แต่บางคนปล่อยแล้วในจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานจนเสียรูปคดี 4.ฟ้องร้องดำเนินคดีฐานทุจริตหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา157จะต้องดำเนินคดี
“มนัส”ปัดไม่รู้ใครปล่อยข่าวเด้ง
นายมนัส ปิ่นเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ปฎิเสธว่า ไม่รู้เรื่องกระแสข่าวการเปลี่ยนตัว อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็น น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ซึ่งไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าว ขอให้ไปสอบถามคนอื่นบ้าง เห็นแต่ข่าวที่หนังสือพิมพ์เอาไปเขียนกัน ถ้าเขาอยากย้าย ก็ย้ายไป เราทำดีที่สุดแล้ว
ชี้ขาด’ธาริต’ขอขยายเวลาแจง
วันเดียวกันมีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
เพื่อรับทราบรายงานจากคณะอนุกรรมการไต่สวนฯกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ยื่นขอขยายเวลา 30 วันในเข้าชี้แจงรายละเอียดการแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังก่อนหน้านี้ปปช.มีมติให้อายัดทรัพย์จำนวน 40.9 ล้านบาทเนื่องจากมีเหตุสงสัยร่ำรวยผิดปกติ
อย่างไรก็ตามที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการไต่สวนฯที่มี นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป.ป.ช.เป็นประธานและผู้รับผิดชอบสำนวน เรียกประชุมวันพุธที่ 22 เมษายนนี้ เป็นผู้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเบื้องต้นเชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะเป็นไปตามกรอบของกฎหมายอยู่แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี