27 เม.ย. 58 ที่ห้อง ศ. 101 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการเสวนาในหัวข้อ 'ประชาธิปไตยในยุคเปลี่ยนผ่าน : ยุคเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย' ซึ่งเป็นการเสวนาโอกาสจัดพิมพ์หนังสือประชาธิปไตยในยุคเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นรวมบทความว่าด้วยประชาธิปไตย ความรุนแรง และความยุติธรรม เขียนโดยนายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายปิยะบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยนายนิธิ กล่าวว่า หนังสือของอ.ประจักษ์ เป็นบทความที่เขียนขึ้นก่อนรัฐประหาร 2549 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยเนื้อหาในเล่มเป็นการเขียนถึงความรุนแรงในการเลือกตั้ง การสืบทอดอำนาจทางการเมือง ประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่าน ภูมิหลังปรากฏการณ์ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 บทบาทของภาคประชาสังคมในภาคการเมือง รวมทั้ง ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะอยู่ในอำนาจไปยาวนานหรือไม่ก็ขอให้อ่านบทความในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งตนเห็นว่า ปัญหาทางการเมืองไทยในปัจจุบัน ควรมองปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในบริบทวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจด้วย ไม่ควรมองแค่ในเชิงพฤติกรรมของนักการเมือง หรือคู่ขัดแย้งเพียงอย่างเดียว
ส่วนนายปิยะบุตร กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญจากระบบเผด็จการไปยังประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้น มี 6 ขั้นตอนที่สำคัญคือ วิกฤตของรัฐธรรมนูญของเผด็จการ ซึ่งวิกฤตดังกล่าวจะเกิดขึ้นในตัวเอง ซึ่งถ้าผู้นำเผด็จการไม่เป็นผู้นำในการปฏิรูปแล้วหรือมีการปฏิรูปล่าช้า ก็จะเกิดการปฏิวัติล้มกระดานใหม่ ต่อมาจะการทำลายรัฐธรรมนูญฉบับของเผด็จการ ที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญที่จะรองรับในระยะเปลี่ยนผ่าน จากนั้น ก็จะมีรัฐธรรมนูญที่มีแบบตามประชาธิปไตย แต่จะถูกท้าทายจากพลังของระบอบเก่า ซึ่งหากผ่านไปได้ ก็จะเข้าสู่รัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง คือ มีการเลือกตั้งที่เป็นไปตามวาระอย่างสม่ำเสมอ มีการเปลี่ยนรัฐบาลในคูหาเลือกตั้ง องค์กรตรวจสอบสามารถตรวจสอบได้อย่างอิสระ ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้น ตนมองว่า ยังวนไปเวียนมาใน 6 ขั้นตอนดังกล่าว เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 2475 เป็นรัฐธรรมนูญที่ประนีประนอมระหว่างรัชกาลที่ 7 กับ คณะราษฎร ซึ่งมีการพัฒนาไปถึงการมีรัฐธรรมนูญ ปี 2489 แต่พอเกิดรัฐประหาร 2490 ก็มีการเริ่มต้นกันใหม่ และเกิดวิกฤตในตัวของเผด็จการจนนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ซึ่งหลังจากนั้นการเมืองไทย ก็ค่อยๆมีการพัฒนาจนไปถึงขั้นที่รัฐธรรมนูญถูกท้าทาย ก็มีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ซึ่งก็ยังคงวนเวียนในแบบนี้อยู่
นายปิยะบุตร กล่าวอีกว่า ตนมีความเห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น เป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เปลี่ยนผ่าน หรือเป็นรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนผ่านจากประชาธิปไตยน้อยไปสู่น้อยมาก อีกทั้ง เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบไฮบริด คือ มีการเลือกตั้งแต่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งตนเชื่อว่า ในอนาคตข้างหน้าก็จะต้องเกิดวิกฤตอีกอย่างแน่นอน
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ปัญหาสังคมไทยในขณะนี้ตนคิดว่า เกิดอาการของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ซึ่งที่ผ่านมาหลายองค์กรได้พยายามเข้าไปแก้ไข แต่เมื่อเวลาผ่านไป องค์กรเหล่านั้นก็มีความอ่อนด้อยในการแก้ไขปัญหาด้วย ดังนั้น ตนยังเห็นว่า ควรยึดหลักการประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว เพราะว่า หลักการประชาธิปไตยยังคำนึงถึงอุดมคติใน 4 ประการคือ มีหลักขันติธรรมหรือทำให้คนที่มีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ร่วมกันได้ ต่อมา หลักสันติวิธี เพราะประชาธิปไตยเป็นนวัตกรรมในการแก้ปัญหาทางการเมืองว่าใครจะมาเป็นผู้ที่ครองอำนาจรัฐอย่างสันติ เพราะนักการเมืองแต่ละฝ่ายจะมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่แข่งไม่ใช่ศัตรูที่จะต้องถูกกำจัด มีความสามารถให้สังคมพลิกฟื้นชีวิตขึ้นมาได้ และเน้นให้ผู้คนในสังคมนี้เป็นพี่น้องกัน ดังนั้น ตนขอให้ยึดหลักการของประชาธิปไตยเพื่อให้สังคมไทยเดินไปข้างหน้า
ทางด้านนายประจักษ์ กล่าวว่า เหตุการณ์การเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้น สะท้อนถึงกลุ่มบุคคลที่มีฐานะและการศึกษาสูงได้ปฏิเสธสถาบันของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นวิกฤตที่ลึกซึ้ง เพราะวิกฤตในปัจจุบันนั้น เป็นการเปลี่ยนผ่านของดุลแห่งอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมครั้งสำคัญ ซึ่งฝังรากลึกทางความคิดในหมู่ผู้มีการศึกษาที่มีมายาคติว่าประชาธิปไตยคือสิ่งเลวร้าย ซึ่งตนยอมรับว่า ประชาธิปไตยมีข้อบกพร่องในสังคมไทย และมักจะถูกตั้งคำถามมาก แต่ในระบอบอำนาจนิยมกลับมีการตั้งคำถามน้อย เพราะมีแนวคิดเรื่องเผด็จการโดยธรรม เนื่องจากเชื่อว่าควรปล่อยให้มีคนหรือกลุ่มบุคคลที่มีสติปัญญาหรือคุณธรรมสูงส่งกว่าใช้อำนาจกับประชาชนส่วนที่เหลือ ดังนั้น ตนขอเรียกร้องว่า ขอให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเหมือนกับตอนรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย อีกทั้ง ขณะนี้ทั่วโลกก็มีวิกฤตของประชาธิปไตย เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบและบางปัญหาก็ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ก็พยายามที่ใช้หลักประชาธิปไตยแก้ปัญหา มากกว่าใช้อำนาจนิยม
นายประจักษ์ กล่าวต่อว่า หากประเทศไทยต้องการมีการปฏิรูปอย่างรอบด้านอย่างแท้จริงนั้น ก็ควรจะปฏิรูปสถาบันที่ใช้อำนาจมหาศาลอย่างกองทัพหรือฝ่ายความมั่นคง เพราะทหารมีโอกาสเป็นผู้ใช้อำนาจมาละเมิดสิทธิของประชาชน ซึ่งการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิก สปช. ที่ผ่านมานั้น มีการพูดว่าจะปฏิรูปหลายอย่าง แต่กลับไม่มีสมาชิกคนไหนปฏิรูปกองทัพเลย อีกทั้ง ตนมองว่า รัฐธรรมนูญที่กำลังมีการยกร่างโดยคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ดำเนินการอยู่นั้น มีเจตนาที่จะสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้ควบคุม เพราะมีการสร้างอำนาจให้มีกลุ่มผู้ใช้อำนาจใหม่ ที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนมาควบคุมตัวแทนของประชาชน โดยไม่ไว้ใจให้ประชาชนปกครองตนเอง และนักสังเกตการณ์หลายคนก็บอกว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีความเป็นประชาธิปไตยเพียงแค่ 25 % หรือ 1 ใน 4 เท่านั้น ซึ่งการที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตนเห็นว่า ประชาชนหรือภาคประชาสังคม ควรมีฉันทามติร่วมกันในเบื้องต้นก่อน เพราะถ้ายังไม่มีฉันทามติร่วมกันแล้ว การเมืองไทยก็ต้องตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี