'จุรินทร์'ยินดีให้ความเห็นรธน. ในฐานะฝ่ายการเมือง
วันจันทร์ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558, 18.45 น.
Tag :
27 เม.ย. 58 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีกรรมาธิการยกร่างรธน.ส่งสัญญานประสงค์รับฟังความเห็นจากฝ่ายการเมืองว่า หากเป็นจริงก็ยินดีให้ความร่วมมือ โดยพร้อมระบุมาตราที่ควรตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้รธน.เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย ลดความขัดแย้งและเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งในส่วนของตนนั้นได้ติดตามและศึกษาร่าง รธน.ทั้งฉบับครบทั้ง315มาตรามาแล้วและพร้อมให้ความเห็นกับกก.ไม่ว่าในรูปแบบใด เพียงแต่ขอให้รับฟังอย่างจริงจัง และต้องตระหนักว่ารธน.จะเป็นที่ยอมรับได้นั้นไม่ใช่แค่เพียงผ่านความเห็นชอบจาก สปช. แต่ที่สำคัญคือต้องผ่านความเห็นชอบจากคนทั้งประเทศด้วย ซึ่งประเด็นปัญหาหลักประการหนึ่งของการเขียนและนำไปสู่ข้อโต้แย้งในวงกว้างก็คือการตั้งโจทย์กับคำตอบไปคนละทิศละทาง ยกตัวอย่างเช่น การตั้งโจทย์ว่า...ที่ผ่านมาไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ"รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไป สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่เกรงใจประชาชน" แต่พอเขียน รธน.ออกมากลายเป็นไปเปิดทางให้คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นนายกได้ซึ่งขัดหลักการประชาธิปไตย ทั้งเขียนให้นายกรัฐมนตรียิ่งมีอำนาจล้นฟ้าขึ้นไปอีก กลายเป็น"พยัคฆ์ติดปีกแถมดำดินได้" ถึงขั้นสามารถเสนอ กม.ด้วยวิธีพิเศษและดำดินหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ด้วย
ซึ่งกรณีนายกคนนอกนั้นแต่เดิมอ้างว่าจะให้เป็นได้เฉพาะในภาวะวิกฤติและในช่วงเวลาจำกัดเช่นไม่เกิน1ปีเพื่อแก้วิกฤติเท่านั้น แต่พอ รธน.ออกมาใน ม.172 กลายเป็นว่าสามารถเป็นได้แม้ในภาวะปกติ ขอเพียงแค่ได้เสียง2ใน3ของสภา และสามารถเป็นได้ถึง2วาระ โดยไม่มีข้อจำกัดเวลา ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน ซึ่งในอนาคตอาจเป็นการเปิดช่องให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในพรรคการเมืองสามารถส่งคนในตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่ไม่ได้ลงสมัคร สส.มาเป็นนายกได้เลยหากมีเสียงในสภา 2ใน3
นอกจากนั้นที่น่าห่วงอย่างยิ่งคือ ม.181กับม.182 ที่ให้อำนาจนายกล้นฟ้า จนทำลายดุลยภาพการตรวจสอบถ่วงดุลในสภา นั่นคือม.182 ที่ เปิดโอกาสให้นายกเสนอ พรบ.ใดก็ได้ เพียงแค่อ้างว่าเป็นพรบ.ขอความไว้วางใจ หากฝ่ายค้านไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกภายใน 48 ชั่งโมง ให้ถือว่าพรบ.นั้นผ่านสภาไปเลย ซึ่งถือเป็นการให้อำนาจเบ็จเสร็จเสียยิ่งกว่าการออก พรก. เพราะการออก พรก.ยังต้องเข้าเงื่อนไขเพื่อความมั่นคง หรือเศรษฐกิจ และความจำเป็นเร่งด่วนที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่การออก กม.ตามมาตรานี้ไม่จำเป็นต้องเข้าเงื่อนไขใดๆเลย ยิ่งกว่า"อภิมหาพระราชกำหนด" วันหนึ่งหากนายกฉ้อฉล ใช้อำนาจออก "พรบ.ล้างผิด"ตามมาตรานี้ บ้านเมืองก็จะวิกฤติอีก ส่วน ม.181ก็น่าห่วงไม่แพ้กัน เพราะให้อำนาจ"นายกโกง"สามารถหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ โดยการเสนอขอให้สภา"ลงมติไว้วางใจตนเอง"ตัดหน้าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านได้ หากสภา"ลงมติไว้วางใจ"ซึ่งก็จะเป็นเช่นนั้นเพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากอยู่แล้ว ฝ่ายค้านก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกหรือตรวจสอบนายกไม่ได้อีกตลอดสมัยประชุมซึ่งก็คือตลอด1ปีนั่นเอง เพราะ1ปีมีสมัยประชุมเดียวที่อภิปรายนายกได้ รธน.2มาตรานี้ จึงเป็นการเขียน รธน.สวนทางโจทย์ที่บอกว่าปัญหาที่ผ่านมาคือฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินไป แต่พอเขียนออกมากลายเป็นยิ่งทำให้นายกยิ่งมีอำนาจล้นฟ้า หากได้นายกที่ใช้อำนาจในทางมิชอบเหมือนเคยเกิดในอดีตแล้วตรวจสอบไม่ได้ วิกฤติก็จะตามมาได้อีกเช่นกัน 2มาตรานี้จึงเกินความจำเป็น และขอแนะนำให้ตัดออกไป
สำหรับกรณีโอเพ่นลิสต์...ที่เปิดให้ประชาชนเลือกผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดได้เพียง1คน จากผู้สมัครในบัญชีของพรรคนั้นราว30คนในแต่ละโซน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการเพิ่มอำนาจให้ประชาชนนั้น ถือเป็นการ"จำกัดอำนาจประชาชน"มากกว่า เพราะหากประสงค์"เพิ่มอำนาจประชาชน"ควรให้อำนาจประชาชนสามารถเลือกผู้สมัครจากบัญชีของพรรคที่เขาเลือกได้ตามจำนวนที่ประชาชนต้องการ แต่ไม่เกินจำนวนสส.บัญชีรายชื่อที่พึงมีในโซนนั้น ไม่ใช่ไปจำกัดให้เลือกได้เพียงคนเดียว
ส่วนวุฒิที่อ้างว่าจะให้มาจากการเลือกตั้ง77คน แต่ประชาชนมีสิทธิ์เลือกได้เฉพาะจากผู้ที่ "กก.กลั่นกรอง"คัดชื่อส่งมาให้เลือกได้เท่านั้นนั้น ยิ่งสะท้อนการจำกัดสิทธิ์ทั้งของผู้สมัครและประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เหมือน"ระบบคอมมิวนิสต์" ซึ่งไม่ควรนำมาใช้ในรธน.ไทย