ถกชี้ชะตา‘ประชามติ’
ปลายพค.
กมธ.อ้างรบ.ไฟเขียว
ถ้าอยากให้ทำก็เสนอไป
สมบัติเชิญคณบดีทั่วปท.
ระดมกึ๋นแก้ไขร่างรธน.
สื่อฯรุมจี้คสช.เลิกปิดกั้น
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม นายวุฒิสาร ตันไชย กรรมาธิการ (กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า กมธ.ยกร่างฯ ยังไม่ได้หารือและพูดคุยกันอย่างเป็นทางการมีเพียงการแสดงความคิดเห็นของ กมธ.ยกร่างฯแต่ละคนออกมาเท่านั้นว่า ควรทำหรือไม่ควรทำประชามติ คิดว่าถ้าเปิดประชุม กมธ.ยกร่างฯในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ก็คงนำเรื่องการทำประชามติมาหารือร่วมกันเพราะทางรัฐบาลเองก็ระบุว่าถ้ากมธ.ยกร่างฯอยากให้ทำก็เสนอความเห็นไปได้
ทั้งนี้ตนมองว่า การจัดทำประชามติมีข้อดีคือทำให้เกิดการยอมรับร่วมกันของคนในสังคม รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้คนในสังคมได้ศึกษาและมีความรู้ความเข้าใจในร่างรัฐธรรมนูญมากยิ่งขึ้น เพราะหลักการทำประชามติ การตัดสินใจว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งใดนั้น ต้องมีข้อมูลมากพอเพื่อประกอบการตัดสินใจ
“ถ้ามีการทำประชามติ ก็ต้องมีกระบวนการให้ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ต่อประชาชน เพราะการทำประชามติไม่ใช่แค่รับ หรือไม่รับเท่านั้น กระบวนการนี้จำเป็นต้องใช้เวลา และมีกลไกมาดำเนินการ”นายวุฒิสาร กล่าว
รอดูคำขอแก้ไขของแม่น้ำ3สาย
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าของกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ขณะนี้การยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการเปิดโอกาสให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เสนอคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแบบเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะการอภิปรายช่วงระหว่างวันที่ 20-26 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นเพียงการเสนอความเห็นของสมาชิก สปช.แต่ละคนเท่านั้น ดังนั้นในขั้นตอนนี้ก็อยากให้รอคำขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากทุกฝ่ายก่อน
คาด2ปมร้อนเตรียมโดนหั่น
โดยประเด็นสำคัญที่มีความแน่นอนว่าจะมีการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมเข้ามา คือประเด็นการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)และผู้ตรวจการแผ่นดิน ประเด็นอำนาจการจัดการเลือกตั้งว่าควรเป็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง(กจต.) ดังนั้นเมื่อคำขอแก้ไขเพิ่มเติมมาถึงกมธ.ยกร่างฯ ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ ทาง กมธ.ยกร่างฯ ก็จะนำมาหารือเพื่อประกอบการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญในช่วง 60 วันสุดท้าย ระหว่างวันที่ 25 พ.ค.-23 ก.ค.นี้
ถ้ากมธ.ยอมฟังคงโหวตผ่าน
เมื่อถามว่าขณะนี้ดำรงตำแหน่งทั้ง กมธ.ยกร่างฯ และ สปช.มีความหนักใจหรือไม่ เพราะต้องทำหน้าที่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ นายไพบูลย์ กล่าวว่า โดยหลักการแล้ว กมธ.ยกร่างฯ ที่เป็น สปช.มีสิทธิที่จะลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งก็คงไปใช้สิทธิตามหน้าที่ เพราะเมื่อ กมธ.ยกร่างฯ ได้ปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วนสมบูรณ์โดยเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายแล้ว เชื่อว่า กมธ.ยกร่างฯ ที่เป็น สปช.ทั้งหมด ก็จะไปทำหน้าที่โหวตลงมติเห็นชอบสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แน่นอน
“ชูชัย”อัดนักเลือกตั้งเอาแต่ได้
ส่วนน.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เสนอทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กับรัฐธรรมนูญปี 2540ให้ประชาชนเลือกว่ายังไม่สามารถให้ความเห็นได้เพราะวันนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำประชามติหรือไม่ แต่เมื่อปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกแล้ว เชื่อว่านักการเมืองที่แท้จริงจะยอมรับได้
“แต่สำหรับนักเลือกตั้งคงไม่พอใจเช่นเดิม เพราะสนใจแต่ผลประโยชน์ตนเป็นใหญ่ มุ่งเอาแต่กติกาเลือกตั้งที่พรรคของตนได้เปรียบ โดยไม่เคยได้ยินนักเลือกตั้งออกมาพูดว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ทั้งๆที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูป ได้บัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพการมีส่วนร่วมของพลเมืองมากกว่าทุกฉบับที่ผ่านมา นักเลือกตั้งควรเสนอมาดีกว่าว่า อะไรที่ยังต้องปฏิรูปเพิ่มเติมแล้วสังคมจะได้ประโยชน์ กมธ.ยกร่างฯ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”นพ.ชูชัย กล่าว
ทำประชามติ2ร่างไม่เหมาะสม
เช่นเดียวกับพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องประชามตินั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกชัดแล้วว่า รัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจเมื่อถึงเวลาเหมาะสม จึงไม่ใช่หน้าที่ที่ตนจะให้ความเห็นว่าเรื่องทำประชามติดีไม่ดีตรงไหน แต่ส่วนตัวเชื่อว่า วิธีนี้คงไม่เหมาะ และเกิดยาก แค่ฉบับเดียวก็ปวดหัวแล้ว เอาสองฉบับประกบให้ตัดสินใจ ซึ่งการให้ประชาชนต้องเข้าใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญฯถึงทั้ง2ฉบับ บางทีประชาชนอาจลืมรัฐธรรมนูญปี 2540 ไปแล้ว
สปช.ชี้ถ้าไม่แก้ไข-มีโอกาสคว่ำ
ทางด้านนายเกรียงไกร ภูมิเหล่าแจ้ง สปช.ด้านการปกครองท้องถิ่น กล่าวถึงการยื่นคำขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ตนอยากให้ กมธ.ยกร่างฯ นำสิ่งที่สปช.อภิปรายมาตลอด 7 วัน ไปพิจารณา หาก กมธ.ยกร่างฯไม่ยอมนำข้อเสนอเหล่านี้ไปแก้ไข หรือแก้ไขเพียงเล็กน้อย สปช.ก็มีโอกาสที่จะไม่เห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมีหลายเรื่องในรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
เล็งแปรญัตติที่มาสว.ใช้กลุ่มอาชีพ
นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสปช. กล่าวว่า จะยื่นเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ หลายประเด็น อาทิ เรื่องที่มาของ ส.ว.จำนวน 200 คน โดยจะแก้ให้มาใช้รูปแบบให้เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพที่มีกฏหมายรองรับทั้งหมดจากนั้นไปลงสมัครและให้ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งโดยตรง โดยกระจายพื้นที่ผู้สมัครเป็น 6 ภูมิภาค เช่นเดียวกับระบบบัญชีรายชื่อของ ส.ส.ในร่างแรกของรัฐธรรมนูญ โดยในแต่ละภูมิภาคจะได้วุฒิสภาจากหลากหลายอาชีพ ไม่น้อยกว่า 30 คน ซึ่งรูปแบบดังกล่าวถือเป็นการเลือกตั้งโดยตรง และที่สำคัญจะได้ ส.ว.ที่ไม่เหมือนกับ ส.ส. ที่เป็นตัวแทนจากพรรคการเมือง ที่อาจเป็นพรรคพวกกัน
ยกเลิกควบรวมกสม.-ผู้ตรวจฯ
นายประสาร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในส่วนตัวจะเสนอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)และผู้ตรวจการแผ่นดิน กลับเป็นอิสระ โดยแยกออกจากกันเหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 เพราะไม่เห็นด้วยที่ กมธ.ยกร่างฯ ไปยุบรวมดังเช่นรัฐธรรมนูญร่างแรกที่นำเสนอต่อ สปช. เนื่องจากทั้ง 2 หน่วยงาน มีภารกิจแตกต่างกัน และเกรงว่าเมื่อมีการยุบรวมไปแล้ว ประชาชนจะได้รับการดูแลคุ้มครองน้อยลง โดยเฉพาะเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่ถือเป็นหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญต้องให้การคุ้มครอง
เชิญคณบดีทั่วประเทศระดมกึ๋น
ขณะที่นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กล่าวถึงการระดมความคิดเห็นในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ กมธ.ปฏิรูปการเมืองจะประชุมเพื่อสรุปการจัดเวทีเสวนาเพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนโดยจะเชิญคณบดีจากมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งคณะนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ทั่วประเทศ เข้าร่วมให้ความคิดเห็นในการปฏิรูปประเทศ และการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดึงพรรคใหญ่-เล็กดันแก้ปมร้อน
“ขณะนี้อยู่ในช่วงการรวบรวมรายชื่อคณะบดีทั้งหมดรวมถึงพรรคการเมืองที่จะเชิญมาร่วมให้ข้อคิดเห็นด้วย ทั้งพรรคขนาดเล็ก และพรรคใหญ่ ซึ่งจะได้ข้อสรุปรายชื่อผู้ที่จะเชิญมาร่วมแสดงความคิดเห็น และกำหนดการในการจัดเวทีเสวนาภายหลังจากการประชุมวันที่ 6 พฤษภาคม คิดว่าคงได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายโดยเฉพาะพรรคการเมืองเพื่อรวบรวมข้อแก้ไขทุกอย่าง ส่งให้คณะกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญในวันที่15พษฤภาคมนี้”นายสมบัติกล่าว
พท.ส่งคนถกกมธ.ไปส่วนตัว
ด้านนายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนได้ปรึกษากันกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยแล้วมีความเห็นตรงกันว่า เราคงส่งในนามตัวแทนพรรคไม่ได้ เพราะเรายังไม่เห็นหนังสือ และต่อให้มีหนังสือมาเชิญพรรคเราก็ประชุมกันไม่ได้ ซึ่งคงจะมีผู้ที่สนใจในเรื่องนี้ไปในนามส่วนตัว ก็คงจะหาคนไปได้
เมื่อถามว่า คิดว่าการไปพูดคุยครั้งนี้จะเกิดประโยชน์หรือไม่ นายชวลิต กล่าวว่า คิดว่ามีประโยชน์เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ความเห็นปรากฎต่อสาธารณะ ส่วนคณะกรรมาธิการเขาจะเอาไปใช้หรือไม่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่เราถือว่าเราได้แสดงจุดยืนแล้ว
ถ้าไม่แก้จะเกิดวิกฤติรอบใหม่
นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคพท. กล่าวว่า ขณะนี้หลายฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ เพราะในหลายๆ มาตรา เช่น เรื่องที่มานายกฯ คนนอก การกำหนดให้มีการตั้ง 11 องค์กรใหม่ขึ้นมา เป็นต้น ทำให้ประชาชนเกิดความระแวงและสงสัยได้ว่าอาจมีใครอยากสืบทอดอำนาจต่อไปหรือไม่ ที่สำคัญหากไม่แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดวิกฤติรอบใหม่
ชูใช้รธน.ปี40และ50โหวตแข่ง
ส่วนที่มีสปช.บางคนระบุว่า พร้อมจะโหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญหากกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญไม่แก้ไขนั้น ตนเห็นว่า สปช.เองก็ยังขาดความเป็นเอกภาพ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มีจุดยืนในแนวทางประชาธิปไตย แต่สุดท้ายเชื่อว่าก็จะถูกกดปุ่มสั่งให้โหวตผ่านอยู่ดี
“ดังนั้นรัฐบาลต้องเดินหน้าทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชน ถามแบบง่ายๆ ไปเลยว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าไม่รับจะให้นายกฯ นำรัฐธรรมนูญปี 40หรือ50 มาใช้ จากนั้นก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการไปก่อน หลังเลือกตั้งเสร็จ ได้รัฐบาลใหม่ ก็ตั้งสสร.ใหม่เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ โดยอาจมีที่มาจากตัวแทนของ คสช.และที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาอย่างละครึ่ง มาร่วมกันทำหน้าที่แบบนี้จะแฟร์ๆ กว่า” นายวรชัย กล่าว
ปชป.จวกกมธ.ยกร่างฯใจแคบ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะใช้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง จึงต้องแสวงหาความร่วมมือเพื่อให้รัฐธรรมนูญออกมามีผลบังคับใช้ให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญจนประเทศไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ ดังนั้นการร่างรัฐธรรมนูญต้องไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่มีอคติดูถูกดูหมิ่นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดว่าวิจารณ์เพราะเสียประโยชน์ และกมธ.ยกร่างฯควรลดอัตตาเปิดใจตัวเองรับฟังให้รอบด้าน
หนุนใช้ม.46แก้ไขรธน.ชั่วคราว
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนการทำประชามติเป็นวิธีการหนึ่งที่ควรใช้กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยควรใช้มาตรา 46 ให้ครม.และคสช.แก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อให้ทำประชามติ ซึ่งไม่น่าจะใช้เวลายาวนานนัก ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนแสดงออกว่ายอมรับกฎหมายสูงสุดของประเทศนี้หรือไม่ ถ้าไม่รับก็ไม่ควรให้ร่างนี้ออกมาใช้ แต่ถ้าผ่านประชามติร่างรัฐธรรมนูญก็จะมีผลบังคับใช้อย่างสง่างาม และจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้รัฐธรรมนูญ
สื่อฯจี้คสช.ยกเลิกคำสั่งตามม.44
วันเดียวกันนายวันชัย วงศ์มีชัย นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเเทศไทย และ นายเทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ร่วมกันออกแถลงการณ์ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เนื่องในวันสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนโลก
โดยเนื้อหาแถลงการณ์สรุปว่าเมื่อคสช.เข้าควบคุมสถานการณ์ประเทศเมื่อ 22 พ.ค.57 สถานะสื่อไทยได้ตกต่ำลงในสายตาประชาคมโลก เพราะ คสช.ได้ออกคำสั่งระงับการออกอากาศ ทั้งสถานีโทรทัศน์และวิทยุ และต่อมาได้ออกคำสั่งให้หนังสือพิมพ์งดแสดงความคิดเห็น เป็นคำสั่งปิดกั้นและการรับรู้ของประชาชน เนื่องในวันเสรีภาพสื่อ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ จึงเรียกร้องขอให้ยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 97/57 ฉบับที่ 103/57 และฉบับที่ 3/58 ที่ออกโดยมาตรา 44 โดยเร็ว เพื่อสร้างบรรยากาศปรองดองและการปฏิรูปประเทศ โดยเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนมีบรรยากาศที่มีอิสระเสรีภาพในการเสนอข่าว ไปสู่การรับรู้ของประชาชน
สำหรับสื่อที่ละเมิดกฏหมาย คสช.สามารถใช้กฏหมายที่มีอยู่ปกติได้ และขอเรียกร้องให้การดำเนินการ กสทช.เป็นอิสระ ไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยงานรัฐ และกำกับดูแลสื่อตามกรอบกฏหมายจริยธรรม และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี