19 พ.ค.58 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.00 น.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ พิจารณาคดีครั้งแรกและสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
โดยศาลได้อ่านสรุปคำฟ้องให้จำเลยฟังโดยสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ส.ค.2554 - พ.ค.2557 จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) จำเลยเป็นนายกฯดำเนินการนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกรวม 5 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการรับจำนำข้าวนาปี ระหว่างปี 2554 - 2555 2.โครงการรับจำนำข้าวนาปรังปี 2555 3.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ระหว่างปี 2555 - 2556 (ครั้งที่ 1) 4.โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2556 (ครั้งที่ 2) 5.โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2556 - 2557 ซึ่งระหว่างการดำเนินการตามนโยบายโครงการรับจำนำข้าว ได้มีข้อทักท้วงจากหลายหน่วยงาน เช่น ป.ป.ช. สตง. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และพรรคการเมือง
โดยทักท้วงว่า โครงการรับจำนำข้าวมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งด้านคุณภาพข้าว การบิดเบือนราคาตลาด และอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งจำเลย และ ครม.จะต้องมีความระมัดระวังรอบคอบ ทุ่มเทเอาใจใส่ในการดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ให้สมเหตุสมผล และมีมาตรการป้องกันความเสียหายด้านเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ แต่จำเลยกลับร่วมลงมติกับ ครม.โดยงดเว้นมาตรการป้องกันไม่ระงับยับยั้งความเสียหายให้หมดสิ้นไป หรือปรับแก้ไขหลักเกณฑ์ในโครงการรับจำนำข้าว ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งที่ประเมินเป็นตัวเลขได้และประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ โดยโจทก์ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งมีโทษจำคุก 1 - 10 ปี ปรับ 2,000 - 20,000 บาท และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 มีโทษจำคุก 1 - 10 ปี และปรับ 20,000 - 200,000 บาท
จากนั้นนายวีระพล ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ได้สอบถามจำเลยว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงตอบศาลด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี พร้อมแถลงขอยื่นคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรฉบับสมบูรณ์ ไม่เกินวันที่ 3 ก.ค.นี้
ศาลจึงสอบถามโจทก์และจำเลยว่าจะนำพยานเข้าไต่สวนในคดีนี้กี่ปาก นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานอัยการโจทก์ แถลงว่ามีพยานบุคคลจะเข้าไต่สวนรวม 13 ปาก ขณะที่ นายเอนก คำชุ่ม ทนายความจำเลย แถลงขอนำพยานเข้าไต่สวนไม่ต่ำกว่า 20 ปาก ซึ่งพยานบางส่วนอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช.และพยานบางส่วนอยู่นอกสำนวน ป.ป.ช.
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การฉบับสมบูรณ์ต่อศาลภายในวันที่ 3 ก.ค.นี้ โดยนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 21 และ 28 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น.ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลยนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องมาศาลตามนัดทุกครั้ง หากจำเลยไม่สามารถมาศาลในนัดใดได้ ให้จำเลยยื่นคำร้องแสดงเหตุจำเป็นต่อศาลพิจารณาเป็นครั้งคราวไป ขณะที่ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมคณะ ได้เดินออกจากศาลฎีกาฯ เพื่อมาขอบคุณประชาชนที่มารอให้กำลังใจอยู่บริเวณรอบนอก ขณะที่ประชาชนได้โห่ร้อง มอบดอกไม้ ถ่ายรูป และสวมกอด น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมตะโกนว่า "ยิ่งลักษณ์ สู้ๆ" จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางกลับด้วย รถยนต์ตู้โฟล์ค สีดำ เลขทะเบียน ฮน 333 โดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
ด้าน นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง หนึ่งในทีมทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า กระบวนการหลังจากนี้เป็นที่ประจักษ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ที่จะช่วยเหลือชาวนาพร้อมที่จะแสดงหลักฐานต่างๆ ต่อศาล ขณะที่กระบวนการพิจารณาของศาลเมื่อสักครู่นั้น ศาลได้อธิบายคำฟ้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฟัง และถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า จะให้การปฏิเสธ หรือรับสารภาพ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ปฏิเสธ โดยให้จำเลยมาศาลทุกนัด ซึ่งในวันดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางมาศาลด้วยตนเองอย่างแน่นอน แต่หากติดติดภารกิจไม่สามารถมาได้ก็จะแจ้งข้อขัดข้องต่อศาลเพื่อขอพิจารณาคดีลับหลัง ทั้งนี้ ทีมทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ในการขอปล่อยชั่วคราว เป็นสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพฯ จำนวน 30 ล้านบาท ซึ่งศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้ โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ส่วนเรื่องพยานที่จะนำไต่สวนนั้นยังไม่สามารถระบุได้ในวันนี้ แต่จะแถลงในวันที่มีการนัดตรวจพยานหลักฐานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องเราได้มีการขอคัดถ่ายเอกสารสรุปสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถชี้ให้เห็นข้อพิรุธในสำนวนได้ เนื่องจากพยานที่ทาง ป.ป.ช.กล่าวอ้างนั้นเคยถูกให้ออกจากราชการ และพยานบางคนขณะที่ให้ปากคำกับทาง ป.ป.ช.ก็ถูกออกหมายจับด้วย เราก็จะชี้ให้เห็นว่าพยานมีความน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร ส่วนระยะเวลาในการพิจารณาคดียังไม่สามารถบอกได้ คงต้องรอวันนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มีข้อกังวลอะไร เพียงแต่เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว ไม่อยากให้พรรคฝ่ายค้านที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพูดชี้นำเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศในบริเวณศาลฎีกาฯ เจ้าหน้าที่ได้นำรั้วเหล็กกั้นเป็นทางเดิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคู่ความ เนื่องจากมีประชาชนมารอให้กำลังใจและมอบดอกไม้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) รวมกว่า 500 นาย มาคอยดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบศาลฎีกา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี