แม้สังคมไทยจะตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนมากขึ้นกว่าในอดีต แต่มิได้หมายความว่าปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจะหมดสิ้นไป ในบางกรณีกลับยิ่งมีความสลับซับซ้อน บ่อยครั้งที่ทั้งกฎหมาย แนวทางปฏิบัติ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ก็ยังก้าวตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชนที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ตามสังคมที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
เกือบ 6 ปีกับการทำงานของ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชุดที่ 2 ตั้งแต่ 25 มิ.ย. 2552 เป็นต้นมา และกำลังจะหมดวาระลงในเดือน มิ.ย. 2558 นี้ ได้ผ่านช่วงเวลาแหลมคมมากมาย โดยเฉพาะวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อเดือน มี.ค.-พ.ค. 2553 และกลุ่ม กปปส. เมื่อเดือน พ.ย. 2556-พ.ค. 2557 จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทุกกลุ่มทุกสี
และท้ายที่สุด แม้รายงานบางชิ้นที่ออกมาจะสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มการเมือง แต่ กสม. ก็สรุปบทเรียนได้ว่า สังคมไทยจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เสรีภาพในการชุมนุมและการใช้อำนาจของรัฐในการบริหารจัดการการชุมนุม รวมทั้งมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น การหลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายพิเศษ ทั้งภาครัฐและภาคสังคมต้องหาทางออกร่วมกัน โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
นอกจากความขัดแย้งทางการเมือง กสม. ยังมีภารกิจด้านสิทธิมนุษยชนอีกมากมาย เช่น ด้านสิทธิชุมชนและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นประเด็นที่สังคมไทยคุ้นชินมายาวนาน ทั้งความขัดแย้งระหว่าง “ทุน-ชาวบ้าน” เช่น กรณีเหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย หรือกรณีน้ำมันดิบรั่วไหล บริเวณทะเลอ่าวไทย จ.ระยอง กสม. ได้เข้าไปทำการตรวจสอบทั้งสองกรณีนี้และกรณีอื่นๆ ในทุกภูมิภาค เช่นเดียวกับการขับเคลื่อนงานด้านการเรียนรู้ เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ยังเป็นงานที่ กสม. ดำเนินคู่ขนานกันไป
และความขัดแย้งระหว่าง “รัฐ-ชาวบ้าน” เช่น กรณีเจ้าหน้าที่อุทยาน ทำการผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกจากบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิม มีการเผาทำลายและรื้อถอนบ้านเรือนไปหลายหลัง ทั้งที่เคยมี มติคณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย. 2541 เรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ การกระทำของเจ้าหน้าที่อุทยานจึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม. ได้กำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการแก้ไขเยียวยา
ด้านเศรษฐกิจ เช่น กรณีชาวนา 225 ราย ไม่ได้รับใบประทวนจากโครงการรับจำนำข้าว ฤดูกาลผลิต 2555-2556 ซึ่ง กสม. ตรวจสอบพบว่าชาวนากลุ่มดังกล่าวดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว ดังนั้น จึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับใบประทวน กสม. ได้เสนอผลการตรวจสอบไปยังคณะรัฐมนตรี เพื่อออกคำสั่งให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับผิดชอบออกใบประทวนแก่ผู้ร้อง ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามที่ กสม. เสนอ
ด้านสิทธิเด็กและสตรี เช่น การตรวจสอบประเพณีรับน้องใหม่ในหลายสถาบันการศึกษา หลังพบว่าบางแห่งมีกิจกรรมที่ใช้ความรุนแรงหรือเข้าข่ายคุกคามทางเพศ และการตรวจสอบกรณีคุกคามทางเพศทั้งในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน กสม. มีการเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงทำความเข้าใจ ลงพื้นที่ประชุมกับหน่วยงานต่างๆ ในระดับจังหวัด และจัดทำข้อเสนอแนะปรับปรุงกฎหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการแก้ไข รวมถึงความพยายามในการปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมด้วย
ด้านสิทธิของผู้สูงอายุ คนพิการ บุคคลหลากหลายทางเพศ และการสาธารณสุข มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น การเจรจากรอบการค้าเสรีกับต่างประเทศ หรือ “เอฟทีเอ” (FTA) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของคนไทยในอนาคต กสม. จึงเสนอแนะให้รัฐบาลกระทำตามกรอบรัฐธรรมนูญ (มาตรา 190 ของ รธน.ฉบับ 2550), ผู้ที่มีเพศวิถีเป็นหญิง ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสอบเพราะแต่งกายไม่ตรงกับเพศสภาพที่เป็นชาย กสม. ได้ทำการตรวจสอบและเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คำนึงถึงความเท่าเทียมระหว่างเพศ และได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี
ด้านสิทธิและสถานะบุคคล ปัจจุบันระบบการระบุสถานะมีความทันสมัยกว่าอดีตมาก ถึงกระนั้น ปัญหาก็ยังคงมีให้เห็น เช่น การพิจารณาคำขอลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านล่าช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด หรือการปฏิเสธการจดทะเบียนสมรส เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดจากตัวกฎหมายที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุง หรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อได้รับการร้องเรียน ทาง กสม. ได้เข้าไปตรวจสอบ พร้อมกับทำข้อเสนอแนะด้านกฎหมายและนโยบายเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อดำเนินการแก้ไข
ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื้อรังมากปัญหาหนึ่งของสังคมไทย มีผู้ที่ได้รับผลกระทบกว้างขวางทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ แน่นอนว่าทางฝั่งประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมนั้น ข้อร้องเรียนมักเป็นการไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การซ้อมทรมาน การทำร้ายร่างกาย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อใจการทำงานของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็มีไม่น้อย เช่น เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต ซึ่งลูกเมียที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องดำเนินชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ทาง กสม. ได้เข้าไปตรวจสอบและเยียวยาทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ อีกทั้งยังจัดโครงการอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนแก่เจ้าหน้าที่รัฐ
และด้านสิทธิทางกฎหมายและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เช่น การนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งหลายกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวพบว่า ผู้ต้องหาถูกประชาชนที่มามุงดูรุมประชาทัณฑ์จนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต กสม. จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หรือหนังสือสั่งการของหน่วยงานอย่างเคร่งครัด หรือหากเป็นไปได้ก็ควรใช้วิธีการอื่นแทน รวมถึงทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน ว่าจะทำข่าวอย่างไรไม่ให้ละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา เป็นต้น
แม้จะผ่านล่วงมาแล้วเกือบ 6 ปี และอายุของ กสม. ชุดปัจจุบันก็กำลังจะหมดลง แต่ภารกิจด้านสิทธิมนุษยชนยังคงต้องเดินหน้าต่อไป เพราะงานด้านสิทธิมนุษยชนไม่ใช่งานที่ทำเสร็จในวันนี้แล้ววันต่อๆ ไปก็ไม่มีอะไรต้องทำอีก แต่เป็นงานที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง ปรับปรุง แก้ไขไม่หยุดหย่อนตามสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้กระบวนการสรรหา กสม. ชุดที่ 3 จะเริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.–15 มิ.ย. 2558 นี้ เพื่อผลักดันงานด้านสิทธิมนุษยชนต่อไป
ไม่ว่าในอนาคต..จะยังมีหน่วยงานที่ชื่อว่า “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” อยู่หรือไม่ก็ตาม!!!
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี