1 ก.ค.58 พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ สหประชาชาติฯ (ยูเอ็นโอเอชซีเอชอาร์) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนคณะอาจารย์ และนักวิชาการ เรียกร้องให้ คสช.ปล่อยตัว 14 นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ว่า ปัจจุบันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่พยายามรักษาให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันของบุคคลในทุกสถานะ โดยพิจารณาใช้ให้สมดุลเหมาะสม กรณีของนักศึกษาที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พยายามอะลุ้มอล่วย เพราะเข้าใจถึงสถานะและวุฒิภาวะ โดยเริ่มจากการว่ากล่าวตักเตือน และการขอความร่วมมือเป็นหลักปฏิบัติ ส่วนในทางคดีเป็นเรื่องของดุลพินิจของเจ้าหน้าที่หลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาด้านความมั่นคงด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหา ผู้ถูกล่าวหานั้นๆ ยังสามารถไปแก้ต่างกันได้ตามเหตุผลและพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง ได้ตามช่องทางกระบวนการ ซึ่งก็เป็นไปตามหลักสากลทั่วไป
พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า ข้อเรียกร้องทางของกลุ่มหรือองค์กรใดๆ ก็ตาม คงต้องพิจารณาด้วยว่าขัดต่อแนวทางการรักษากฎหมายหรือไม่ สำหรับข้อกังวลในเรื่องที่จะมีการฟ้องคดีกับศาลทหารนั้น ปัจจุบันนี้จะมีเพียง 3 - 4 ฐานความผิดที่จำเป็นต่อการรักษาชีวิตความสงบสุขของประชาชน หรือมีผลกระทบความมั่นคง รวมถึงความผิดที่เกี่ยวพันโดยตรงกับความไม่สงบเรียบร้อยของประเทศในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ยูเอ็นมองว่า ไม่มีความจำเป็นในการดำเนินคดีอาญาที่มีโทษจำคุกยาวนานต่อการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบนั้น เป็นการได้รับข้อมูลไม่ครบ คงต้องดูเป็นกรณีๆ ไป ว่าการใช้เสรีภาพนั้นๆ ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ เพราะกรณีโทษที่ได้รับจากกรณีฝ่าฝืนประกาศคำสั่ง คสช.ที่ว่าห้ามชุมนุมสุดท้ายจะมีโทษปรับกับโทษจำคุกเพียงไม่กี่เดือน แต่ถ้ากรณีถูกมองว่าเข้าข่ายความผิดในคดีอาญาด้านความมั่นคงจริง บทลงโทษคงรุนแรงกว่า แต่ก็เป็นบทลงโทษที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญาเดิมอยู่แล้ว
ทั้งนี้ การแสดงความคิดเห็นสามารถทำได้ภายใต้ช่องทางที่เหมาะสม เพียงแต่ขณะนี้มีบางส่วนที่มีเจตนาแอบแฝง พยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้สถานการณ์พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งให้มากขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่รับทราบดีจึงพยายามดำเนินการต่างๆ อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาด้วยความระมัดระวัง
"มั่นใจว่าการดำเนินการใดๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความจำเป็นของสถานการณ์ทุกประการ ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมประเทศชาติเกิดความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความสุข ไม่เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์อย่างเช่นในอดีต ขอย้ำว่าประเทศไทยยึดถือตามพันธกรณีของไทย ภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ว่าด้วยการปฎิบัติตามหลักสากล สิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ที่จะต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นและไม่ทำให้สังคมโดยรวมวุ่นวาย ขอให้ องค์กรต่างประเทศ อย่าได้กังวลในการดำเนินการของทางการไทยต่อเรื่องนี้เลย เพราะภายใต้กฎหมายของประเทศไทย จะมีบทลงโทษเฉพาะผู้ที่กระทำผิดเท่านั้น อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมก็เปิดโอกาสให้มีการชี้แจง ข้อกล่าวหาและปกป้องเสรีภาพของตนเองได้ตามช่องทางที่กฎหมายระบุ เพียงแต่ในช่วงเวลานี้ ขอให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ใช้ช่องทางในการรักษาสิทธิเสรีภาพของตนอย่างถูกต้องก็จะทำให้ทุกส่วนได้เห็นเจตนาที่แท้จริงอย่างแน่นอน" โฆษก คสช.กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง หากมีผู้พยายามละเมิดกฎหมาย โดยอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ แล้วไม่ถูกดำเนินการใดๆ แล้วสังคมส่วนใหญ่จะสงบสุขได้อย่างไร ทั้งนี้ หากองค์กรต่างประเทศกังวลใจในเรื่องนี้ สามารถประสานขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามช่องทางที่เหมาะสมระหว่างประเทศได้อยู่แล้ว และหากพิจารณาตามข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้านจากทุกฝ่ายแล้วจะเห็นว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ใช้ทั้งหลักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และความเป็นสังคมไทย เชื่อว่าสังคมไทยและประชาคมโลกมีความเข้าใจในบริบทดังกล่าวอย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี