2 ก.ค.58 ที่รัฐสภา นางถวิลวดี บุรีกุล ประธานอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ และนางสุภัทรา นาคะผิว โฆษก กมธ.ยกร่างฯ แถลงถึงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 2 ซึ่งทำการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 - 31 พ.ค.58 โดยได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสถาบันพระปกเกล้า โดยดำเนินการสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 77,160 ราย
โดย นางถวิลวดี กล่าวสรุปผลสำรวจรอบ 2 เพื่อนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์ สรุปผล และปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญให้เกิดความสมบรูณ์ และสอดคล้องกับความคิดเห็นของประชาชนให้ได้มากที่สุด อันเป็นเจตนารมณ์ของคณะ กมธ.ยกร่างฯ ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมต่อการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างแท้จริง ซึ่งการแยกเป็นประเด็น ดังนี้
1.ประเด็นเรื่องความเป็นพลเมือง สิทธิและหน้าที่พลเมือง ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 97.8 เห็นด้วยว่าพลเมืองต้องไม่กระทำที่ทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนในชาติ หรือศาสนา ร้อยละ 96.7 เห็นว่า สื่อมวลชนมีเสรีภาพในการประกอบวิชาชีพและรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนร้อยละ 96.9 เห็นด้วยควรเสียภาษีโดยสุจริต ร้อยละ 95.7 เห็นด้วยว่าบุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีเสรีภาพที่จะกระทำการใดเท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ส่วนร้อยละ 94.1 เห็นด้วยว่าบุคคลห้ามใช้สิทธิหรือเสรีภาพในลักษณะที่จะก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ร้อยละ 91.2 เห็นด้วย ควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งย้อนหลัง 3 ปี ร้อยละ 84.6 เห็นด้วยว่าควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติของคู่สมรสและบุตร ของผู้สมัครรับเลือกตั้งย้อนหลังเป็นต้น
2.ระบบประเด็นระบบผู้แทนและผู้นำการเมืองที่ดีแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 94.7 เห็นว่า ควรมีคณะกรรมการแต่งตั้งข้าราชการโดยระบบคุณธรรม ร้อยละ 93.5 เห็นว่า เมื่อส.ส.ไปเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ร้อยละ 92 เห็นว่า ส.ว.มีอำนาจร่วมกับ ส.ส.ในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร้อยละ 90.6 เห็นว่าประชาชน นอกจากเลือกพรรคการเมืองที่ชอบได้แล้ว ยังสามารถเลือกผู้สมัครที่ตนเองชอบกับบัญชีรายชื่อพรรคได้อีกด้วย ร้อยละ 89.3 เห็นว่า ส.ส.มีอิสระจากมติพรรคการเมืองในการลงมติเรื่องต่างๆ ร้อยละ 88.7 เห็นว่า ส.ว.มีจำนวนไม่เกิน 200 คน
นอกจากนี้ ร้อยละ 86.6 เห็นว่าในกรณีบ้านเมืองเกิดวิกฤต ส.ส.สามารถลงมติให้คนที่มีความสามารถเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเป็น ส.ส.ด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ส่วนร้อยละ 83.9 เห็นว่าการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็น ส.ส.ต้องจัดให้มีการหยั่งเสียงของประชาชน หรือสมาชิกพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้ง หรือในภาคนั้นๆ ก่อน ส่วนร้อยละ 77.1 เห็นว่า ส.ว.มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน ส่วนจำนวนที่เหลือให้มาจากการสรรหา และร้อยละ 77 เห็นว่า ส.ส.ควรเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี
3.ประเด็นนิติธรรม ศาลและองค์กรการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 98.1 เห็นควรกำหนดกรอบระยะเวลาในการพิจารณาคดีของศาลให้ชัดเจนและเปิดเผยต่อสาธารณะ ร้อยละ 97.6 เห็นว่าดำรงตำแหน่งทางการเมืองและกรรมการองค์กรตรวจสอบต่างๆ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและเปิดเผยต่อสาธารณะ ร้อยละ 96.6 เห็นว่ามีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิเข้าชื่อเสนอถอดถอนนักการเมือง และกรรมการองค์กรตรวจสอบ ร้อยละ 93 เห็นว่าเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่องค์กรต่างๆ ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด ร้อยละ 92.8 เห็นว่า ห้ามข้าราชการอัยการดำรงตำแหน่งหรือปฎิบัติหน้าที่ใดในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐหรือบริษัทเอกชน และร้อยละ 89.5 เห็นว่าการชี้ขาดการเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์
4.การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 98.4 เห็นด้วยให้มีการจัดตั้งกองทุนให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย และคดีแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ร้อยละ 98.1 เห็นว่าการปฎิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและความยั่งยืน ร้อยละ 95.8 เห็นว่าควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เสริมสร้างและประสานงานกับทุกภาคส่วน ให้เกิดความสมานฉันท์และความปรองดองในชาติ และร้อยละ 93.7 เห็นว่าควรมีมาตรการเยียวยาความเสียหายรวม ทั้งฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำถามปลายเปิดในประเด็นการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง มีคำถามที่น่าสนใจอยู่ 3 คำถาม โดยคำถามที่ 1.หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้วยังคงเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายเหมือนเช่น 10 ปีที่ผ่านมา ควรทำอย่างไร ผลสำรวจพบว่า ประชาชน ร้อยละ 17.3 เห็นว่าให้ตั้งรัฐบาลผสม ร้อยละ 11 ให้ทหารปฎิวัติเพื่อมีรัฐประหารอีก ร้อยละ 10.3 ให้ยุบสภาแล้วจัดเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 9.8 ให้ออกกฎหมายบังคับอย่างเด็ดขาด / ออกกฎอัยการศึก ร้อยละ 2 เห็นว่าให้สร้างสำนึกให้รู้รักชาติ รักแผ่นดิน
คำถามที่ 2.มีแนวทางอย่างไรเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงอย่างเช่นในอดีต ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 12.5 เห็นว่าต้องปลุกจิตสำนึกให้รักชาติ สามัคคี ปรองดอง รณรงค์ลดความรุนแรงทางการเมือง ร้อยละ 10.2 ออกกฎหมายควบคุมล่วงหน้า / ออกกฎอัยการศึก ร้อยละ 3.5 หาคนกลางเข้ามาแก้ปัญหาและหันหน้าคุยกัน ร้อยละ 2.5 ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันยอมรับฟังความคิดเห็น และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ร้อยละ2.4 ลดความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมยึดหลักประชาธิปไตย
คำถามที่ 3 ควรมีการนิรโทษกรรมให้กับการประท้วงทางการเมือง ในช่วงปี 2548 - 2557 ที่ได้กระทำผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ยกเว้นผู้กระทำผิดคดีทุจริตหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีวางเพลิงฆ่าทำร้ายร่างกายลักทรัพย์ และแกนนำการชุมนุมประท้วงทางการเมือง ผลสำรวจพบว่า ประชาชน ร้อยละ 52.9 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมในกรณีดังกล่าว ขณะที่ ร้อยละ 43.9 ไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ ผลสำรวจในคำถามที่ 3 มีความแตกต่างจากผลสำรวจในครั้งที่ 1 ในช่วงเดือน ก.พ.58 เป็นอย่างมาก เนื่องจากการทำผลสำรวจช่วงแรกมีประชาชนเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ถึงร้อยละ 90.5
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี